น้อมรำลึกในหลวง ร.9 กรมชลประทาน “สืบสาน รักษา ต่อยอด” พระราชปณิธาน สร้างความมั่นคงน้ำยั่งยืน
กรมชลประทาน นำโดย สุริยพล นุชอนงค์ อธิบดีกรมชลประทาน ยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนภารกิจสำคัญในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของชาติอย่างต่อเนื่อง ภายใต้พระราชปณิธาน “สืบสาน รักษา ต่อยอด” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (ในหลวงรัชกาลที่ 9) ที่ได้พระราชทานไว้กว่า 5,000 โครงการทั่วประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง สร้างความมั่นคงทางน้ำ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน โดยการดำเนินงานในปัจจุบันเป็นการผนวกเอาหลักการทรงงาน “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และ “ศาสตร์พระราชา” เข้ากับมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“สืบสาน” ในบริบทของกรมชลประทานคือ การเดินตามรอยองค์ความรู้และแนวทางที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชทานไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลักการพัฒนาแหล่งน้ำที่เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศและวิถีชีวิตของชุมชน เช่น การพัฒนาแหล่งน้ำในลักษณะของ “อ่างพวง” เพื่อบริหารจัดการน้ำท่วมและน้ำแล้งอย่างเป็นระบบ ดังเช่น โครงการอ่างพวงในลุ่มน้ำชีตอนบนในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ หรือโครงการ “แก้มลิง” ที่ช่วยกักเก็บน้ำหลากเพื่อใช้ประโยชน์ในฤดูแล้งและบรรเทาน้ำท่วมในฤดูฝน เช่น โครงการขุดลอกแก้มลิงหนองแสงอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดขอนแก่น
ขณะที่ “รักษา” คือการ บำรุงรักษาโครงการชลประทานกว่า 3,000 แห่ง ที่พระองค์ได้ทรงริเริ่มไว้ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานอยู่เสมอ ทั้งเขื่อน อ่างเก็บน้ำ ฝาย และระบบคลองชลประทานขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนเจ้าพระยา และ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญของพระมหากรุณาธิคุณ เพื่อให้โครงการเหล่านี้สามารถทำหน้าที่ในการกักเก็บและกระจายน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นเสมือนดั่งพระองค์ยังคงอยู่เคียงข้างประชาชน
ส่วนการ “ต่อยอด” เป็นการขยายผลและพัฒนาโครงการเดิมให้สอดคล้องกับสถานการณ์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเน้นการ สร้างความเชื่อมโยง ระหว่างการบริหารจัดการน้ำกับมิติอื่น ๆ เพื่อให้เกิดความยั่งยืนสูงสุด ซึ่งรวมถึงการพัฒนาและปรับปรุงพื้นที่โดยรอบแหล่งน้ำ การปลูกหญ้าแฝก เพื่อป้องกันการชะล้างหน้าดิน การฟื้นฟูสภาพป่า และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำในการเกษตร เช่น การส่งเสริม ระบบเกษตรน้ำฝนตามแนวทฤษฎีใหม่ และการจัดการน้ำแบบ เปียกสลับแห้ง ในนาข้าว นอกจากนี้ กรมชลประทานยังได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนอย่างรอบด้าน เพื่อให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการออกแบบและบริหารจัดการโครงการ รวมถึงการจัดตั้ง กลุ่มผู้ใช้น้ำ ให้เกษตรกรมีบทบาทในการวางแผนเพาะปลูกและบริหารจัดการน้ำร่วมกับเจ้าหน้าที่ เพื่อสร้างความโปร่งใสและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรน้ำให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
การขับเคลื่อนงานชลประทานตามแนวพระราชดำริเหล่านี้ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่กรมชลประทานเท่านั้น แต่ยังเกิดจากความร่วมมือของหลายภาคส่วน ทั้งหน่วยราชการส่วนกลางและท้องถิ่น เพื่อให้โครงการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโครงการขนาดเล็กที่คืบหน้าได้รวดเร็ว หรือโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาดำเนินการตามขั้นตอนด้านสิ่งแวดล้อม สามารถเดินหน้าได้อย่างต่อเนื่องและบรรลุพระราชปณิธานในการสร้างความมั่นคงและประโยชน์สุขแก่ประชาชนอย่างยั่งยืน สมดังพระราชดำรัสที่ว่า “น้ำคือชีวิต”
