กรมชลฯ เกาะติดสถานการณ์น้ำ คุมระบายน้ำสมดุล ลดผลกระทบประชาชน

m

กรมชลฯ ติดตามสถานการณ์น้ำใกล้ชิด คุมระบายน้ำสมดุลในลุ่มน้ำสำคัญ ป้องกันผลกระทบต่อประชาชน พร้อมเฝ้าระวังฝนตกหนักถึง 27 ก.ย.นี้

วันที่ 24 ก.ย.68 ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน รายงานว่า ปัจจุบันอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศมีปริมาณน้ำรวม 60,551 ล้าน ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) หรือร้อยละ 79 ของความจุอ่างฯ รวมกัน ยังสามารถรองรับน้ำได้กว่า 15,960 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำรวม 20,803 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 84 ของความจุอ่างฯ และยังสามารถรองรับน้ำได้อีกกว่า 4,000 ล้าน ลบ.ม. โดยแม้เขื่อนภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์จะมีปริมาณน้ำเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 80 ของความจุ แต่ยังคงมีช่องว่างเพียงพอในการรองรับน้ำฝนที่จะไหลสมทบ ซึ่งกรมชลประทาน ได้ร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ติดตามและบริหารจัดการน้ำอย่างใกล้ชิด

สำหรับ “ทุ่งบางระกำ” จ.พิษณุโลก ซึ่งทำหน้าที่เป็นแก้มลิงธรรมชาติ รองรับน้ำจากลุ่มน้ำยมและน้ำฝนในพื้นที่ และช่วยบรรเทาน้ำหลากในลุ่มเจ้าพระยาตอนล่าง ขณะนี้มีน้ำประมาณ 439 ล้าน ลบ.ม.

ทางด้านสถานการณ์น้ำลุ่มเจ้าพระยา (เวลา 06.00 น.) สถานีวัดระดับน้ำ C2 จ.นครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,281 ลบ.ม. /วินาที กรมชลประทานรับน้ำเข้าระบบชลประทานฝั่งตะวันออกและตะวันตกตามศักยภาพของลำน้ำ และคงการระบายน้ำส่วนเกินผ่านเขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ในอัตรา 2,200 ลบ.ม./วินาที จนถึงสิ้นเดือนกันยายน ทั้งนี้ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก และเขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ ทยอยปรับลดการระบายน้ำแบบขั้นบันได เพื่อเป็นการช่วยลดปริมาณน้ำที่จะไหลลงสู่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 

สถานการณ์น้ำลุ่มน้ำป่าสัก จากอิทธิพลของฝนที่ตกหนักในพื้นที่ลุ่มน้ำป่าสัก ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปอย่างเหมาะสม เขื่อนป่าสักฯ จึงได้ปรับเพิ่มการระบายน้ำจากเดิม 500 ลบ.ม./วินาที เป็น 650 ลบ.ม./วินาที โดยเพิ่มขึ้นวันละ 50 ลบ.ม./วินาที เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างน้ำที่ไหลเข้าอ่างฯ และน้ำที่ระบายออกจากอ่างฯ ทำให้ยังคงมีพื้นที่รองรับน้ำได้เพิ่มเติม และช่วยป้องกันไม่ให้เกิดน้ำล้นอ่างฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อพื้นที่ท้ายเขื่อน โดยปริมาณน้ำที่ระบายจากเขื่อนป่าสักฯ จะไหลลงสู่เขื่อนพระรามหก ซึ่งกรมชลประทานควบคุมการระบายไม่เกิน 700 ลบ.ม./วินาที ก่อนจะไหลไปรวมกับแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นที่ที่อาจได้รับผลกระทบ ได้แก่ ชุมชนวัดสะตือ ต.ท่าหลวง และเขตเทศบาล ต.ท่าเรือ อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา 

ทั้งนี้ กรมชลประทานได้บริหารจัดการน้ำเหนือเขื่อนพระรามหก โดยการระบายน้ำเข้าคลองระพีพัฒน์ เพื่อควบคุมระดับน้ำเหนือเขื่อนให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และลดผลกระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายน้ำให้ได้มากที่สุด

สำหรับลุ่มน้ำท่าจีน ได้รับผลกระทบจากการรับน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยา ฝนที่ตกในพื้นที่ และสภาวะน้ำทะเลหนุนสูง ส่งผลให้น้ำเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ริมน้ำบางพื้นที่ในเขต อ.เมืองสุพรรณบุรี อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี และ อ.บางเลน อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม กรมชลประทานได้ติดตั้งเครื่องผลักดันน้ำ เพื่อเร่งระบายน้ำลงสู่อ่าวไทยและลดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำ

ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่า ระหว่างวันที่ 24 – 27 ก.ย. 2568 ประเทศไทยตอนบนยังคงมีฝนตกหนักถึงหนักมาก อาจเกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่ง และน้ำท่วมขังในเขตลุ่มต่ำหรือชุมชนเมือง  จึงขอให้ประชาชนเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำและติดตามข่าวสารจากทางหน่วยงานราชการอย่างใกล้ชิด 

กรมชลประทานยังคงเดินหน้าสูบน้ำและระบายน้ำอย่างต่อเนื่อง พร้อมกำจัดวัชพืชและสิ่งกีดขวางทางน้ำ เพื่อให้การระบายน้ำมีประสิทธิภาพสูงสุด และบูรณาการกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ ลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนให้ได้มากที่สุด

ติดตามข้อมูลสถานการณ์น้ำเพิ่มเติมได้ที่ wmsc.rid.go.th และ bigdata-swoc.rid.go.th

About Author