ทายาทหม่อนไหม : สืบสานภูมิปัญญา สร้างอาชีพเด็กและเยาวชนยั่งยืน

ปัญหาการศึกษาของเด็กและเยาวชนในท้องถิ่นของไทยยังคงเป็นปัญหาสำคัญ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่เด็กบางกลุ่มขาดโอกาสการศึกษาหรือไม่สามารถเรียนต่อในระดับสูง ทำให้ขาดทักษะอาชีพที่มั่นคง จากข้อมูลสถิติของ สพฐ. พบว่าในปี พ.ศ. 2561-2562 ผู้เรียนต่อในระดับสูงลดลง 20% เนื่องจากสภาพความยากจนในครอบครัว จากสายพระเนตรอันยาวไกลของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงทรงมีพระราชดำริในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กและเยาวชนในท้องถิ่นห่างไกล โดยเน้นการพัฒนาแบบองค์รวมผ่านการศึกษา อาชีพ และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
กรมหม่อนไหม ในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบงานด้านการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพด้านการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม โดยเฉพาะโครงการอันเนื่องมาจากรพระราชดำริ จึงได้จัดทำโครงการ “สร้างทายาทหม่อนไหม” เพื่อสนองพระราชดำริในสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การสาวไหม การทอผ้าไหม และการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากหม่อนไหม ให้แก่เด็กและเยาวชน ภายใต้โครงการประกอบด้วยทายาทหม่อนไหมในโรงเรียนและชุมชนทั่วประเทศ เพื่อให้เด็ก เยาวชน มีทางเลือก มีอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืน สามารถสร้างรายได้ระหว่างเรียนหรือเป็นอาชีพหลักหลังจากจบการศึกษา อีกทั้งเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาเพื่อสืบทอดภูมิปัญญา วัฒนธรรม ด้านหม่อนไหมจากรุ่น สู่รุ่น
โครงการนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เด็กและเยาวชนมีโอกาสสร้างอาชีพ แต่ยังเป็นการอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาด้านหม่อนไหม ซึ่งเป็นอาชีพที่สำคัญต่อเศรษฐกิจชุมชน และยังช่วยให้เยาวชนได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่ของตน การส่งเสริมอาชีพนี้จะช่วยให้เยาวชนมีทักษะและรายได้ระหว่างเรียนหรือหลังจบการศึกษา พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ชุมชนได้ใช้ความรู้จากโครงการเพื่อพัฒนาต่อไป
อาทิเช่น กลุ่มทายาทหม่อนไหมในชุมชนบ้านเล็กในป่าใหญ่ผานาง-ผาเกิ้ง จังหวัดเลย มีสมาชิก จำนวน 12 คน อายุระหว่าง 8-16 ปี โดยเป็นการรวมกลุ่มจาก 4 โรงเรียน คือ โรงเรียนผานาง-ผาเกิ้ง, โรงเรียนบ้านหนองใหญ่, โรงเรียนบ้านเอราวัณ และโรงเรียนผาอินทร์แปลงวิทยา โดยได้รับการอบรมการทอผ้าเบื้องต้นจากเจ้าหน้าที่กองศิลปาชีพและศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ เลย สมาชิกได้ฝึกทักษะการเตรียมวัสดุในการทอผ้าไหม เช่น การตีเกลียว ปั่นหลอด มัดหมี่ และการทำผ้าคลุมไหล่และตีนซิ่น เพื่อจำหน่ายในกิจกรรมต่างๆ โครงการนี้ช่วยเสริมสร้างทักษะอาชีพและสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น
ด.ช.ปัญญา วารีน้อย กลุ่มทายาทหม่อนไหมในชุมชนบ้านเล็กในป่าใหญ่ ผานาง-ผาเกิ้ง โรงเรียนผาอินทร์แปลงวิทยา เล่าว่า มีความชอบในการทำผ้าไหมมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะเห็นคุณยายทอผ้าไหม จึงเริ่มไปหัดทอผ้าไหมกับยายและรู้สึกมีความสุขแค่ได้ทำร่วมกับยาย นอกจากนี้ยังเห็นยายลำบาก จึงเลือกที่จะช่วยยายทอผ้าไหมแทนการไปเล่นกับเพื่อน ๆ ในตอนแรกเขาหัดทำผ้ามัดหมี่ ก่อนจะเริ่มเรียนรู้การตีเกลียวและทักษะอื่น ๆ ต่อไป
โอกาสที่ไม่คาดคิดมาถึงเมื่ออาจารย์ที่โรงเรียนถามรุ่นพี่ว่าจะไปเรียนทอผ้าไหมที่สุรินทร์หรือไม่ แต่รุ่นพี่ปฏิเสธ เขาจึงใช้โอกาสนี้ขออาจารย์ไปเรียนทอผ้าไหมแทน โดยเดินทางไปสุรินทร์สองครั้ง ครั้งละหนึ่งเดือนในช่วงปิดเทอม นั่งรถไปคนเดียว ด้วยใจที่มุ่งมั่น จึงเป็นโอกาสทำให้นำผลงานผ้าหมัดหมี่ที่เรียนกับอาจารย์มาโชว์ในงาน “ตรานกยูงพระราชทานสืบสานตำนานไหมไทย” ครั้งที่ 20 และได้รับคำชื่นชมจนมีคนมาซื้อผ้าไหมมัดหมี่ที่ทำครั้งแรกในราคา 7,000 บาท
“รู้สึกดีใจมากที่มีคนซื้อผลงานของผมจากประสบการณ์ที่ทำผ้าไหมกับยายและไปเรียนกับอาจารย์ที่สุรินทร์ซึ่งผมนำประสบการณ์ทั้งหมดมาทำผ้ามัดหมี่ผมคิดว่าเป็นผลงานที่สมบูรณ์แบบที่สุดและสวยที่สุดเพราะผมได้ทำด้วยมือของผมเอง”

ด.ช.ปัญญา เล่าอีกว่า จะต่อยอดอาชีพการทำผ้าไหมต่อไป ด้วยการทำลายนี้เพิ่มขึ้น เพื่อนำไปโชว์ในกิจกรรมอื่น ๆ และจะพยายามทำให้เต็มที่สุดความสามารถ และตั้งมั่นว่าจะทำผ้าผื่นใหม่ออกมาเรื่อย ๆ พร้อมกล่าวเชิญชวนเพื่อน ๆ
“อยากให้เพื่อนๆมาเป็นทายาทหม่อนไหมอยากให้ลองทำดูก่อนถ้าทำไปแล้วมีรายได้อาจจะสนใจเหมือนผมและผมจะเก็บรายได้ที่ได้ในวันนี้ไว้เป็นทุนการศึกษาในอนาคต”
เช่นเดียวกับ “ทายาทหม่อนไหม” จากโรงเรียนบ้านดอนขุนห้วย จังหวัดเพชรบุรี ได้รับการอบรมจากศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ กาญจนบุรี ในการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากหม่อนไหม เช่น สบู่รังไหม ไซรัปมัลเบอรี่นมสด และชาใบหม่อนผสมน้ำผึ้งมะนาว เพื่อเสริมทักษะให้เยาวชนสามารถผลิตสินค้าและสร้างรายได้ระหว่างเรียน ช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัว

ด.ญ.แว่นแก้ว จีนฮี้ นักเรียนโรงเรียนบ้านดอนขุนห้วย เล่าว่า ในชุมชนก็จะมีการทอผ้าไหมอยู่แล้ว คนเฒ่า คนแก่ ก็มีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม รวมถึงที่บ้านด้วย แว่นแก้วเล่าด้วยความเขินอายเล็กน้อยว่า ตอนแรกเธอได้เรียนการทอผ้าไหมกับแม่ เพราะที่บ้านมีการทอผ้าอยู่แล้ว และก็คิดว่าการทอผ้าเป็นรายได้พิเศษที่ดี
หลังจากนั้นก็ไปศึกษาการทอผ้าเพิ่มเติมกับเจ้าหน้าที่ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ กาญจนบุรี โดยใช้เวลาศึกษาประมาณ 3 เดือน ซึ่งได้ความรู้ในการทอผ้า รวมถึงการย้อมสี ซึ่งความรู้ที่ได้รับจากศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ ไม่ได้สูญเปล่า เพราะเธอได้นำไปต่อยอดให้กับแม่ของเธอ มีการนำความรู้เรื่องการย้อมสีซึ่งมีสีที่แตกต่างไปจากเดิมที่ครอบครัวทำอยู่ ทำให้ครอบครัวต่อยอดพัฒนาการทำผ้าไหมที่มีสีที่แตกต่างไปจากเดิมและมีคุณภาพขึ้น
“หนูนำความรู้จากการเรียนที่ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯมาบอกให้กับแม่ซึ่งจะมีการย้อมสีหลายๆสีเป็นสีที่ต่างกันและเป็นตัวใส่จับสีจะได้สีที่แตกต่างกันไป”
สำหรับวันนี้ ด.ญ.แว่นแก้ว ได้นำผลงานการทอผ้าซึ่งเป็นผ้าที่หลายคนในโรงเรียนร่วมกันทอ เนื่องจากในโรงเรียนจะมีเครื่องทอผ้าแค่ 2 เครื่อง ในงาน “ตรานกยูงพระราชทานสืบสานตำนานไหมไทย” ครั้งที่ 20 ประจำปี 2568 เช่นกัน รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปกระเป๋า โบว์ ผ้าพันคอ จากผ้าไหมอีกด้วย
“รู้สึกภูมิใจในผลงานของเราและผลงานของเราเป็นที่นิยมของคนอื่นด้วยและได้โชว์ผลงานของตัวเองที่ได้ทำเองค่ะหนูชอบการทำโบว์มากที่สุดมันสวยดีที่โรงเรียนมีการทอผ้าไหมเยอะมากและหนูอยู่ในชมรมทอผ้า”พร้อมกล่าวทิ้งทายว่า การทอผ้าไหมเป็นการทอที่ง่าย ทุกคนสามารถทำได้ นำไปแปรรูปได้ด้วยที่สำคัญเป็นการหารายได้ให้กับตัวเองไม่ต้องขอเงินจากพ่อแม่
โครงการทายาทหม่อนไหม ไม่เพียงแต่ปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์และสืบทอดภูมิปัญญาด้านหม่อนไหมให้คงอยู่คู่คู่ประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ซึ่งเป็นอาชีพทีมีความสำคัญอาชีพหนึ่งต่อเศรษฐกิจและสังคมชนบทให้เติบโตอย่างยั่งยืนอีกด้วย