“Luther – SZA” อีกเพลงคู่ที่สร้างประวัติศาสตร์

song

สัปดาห์นี้ เพลง “Luther” จากการทำงานร่วมกันของ เคนดริค ลามาร์ และ ซิซา ติดอันดับ 1 บนตารางอันดับซิงเกิ้ล บิลล์บอร์ด ฮ็อท 100 เป็นสัปดาห์ที่ 13 ติดต่อกัน

เคนดริค ลามาร์ เป็นดาวแรป, นักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์แถวหน้าสุดของโลก ประสบความสำเร็จมากมาย ได้รับรางวัล พูลิทเซอร์ ไพรซ์ ฟอร์ มิวสิก ในปี 2018 ซึ่งเป็นนักดนตรีคนเดียวนอกสาขาคลาสสิคัลและแจ็ซซ์ที่ได้รางวัลนี้

ซิซา เป็นนักร้อง-นักแต่งเพลงที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในแนวดนตรีอาร์แอนด์บีของยุคนี้ เธอโดดเด่นขึ้นมาจากการแต่งเพลง และการทดลองซาวนด์ดนตรีอาร์แอนด์บีที่ขยายขอบเขตครอบคลุมทั้งป็อป, ร็อค และฮิป-ฮอป

ส่วนเพลง “Luther” อยู่ในอัลบั้ม GNX ของ ลามาร์ ซึ่งออกเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2024 ชื่อเพลงเป็นการแสดงความคารวะ ลูเธอร์ แวนดรอสส์ ยอดนักร้องโซล/อาร์แอนด์บีผู้จากไปเมื่อปี 2005 ในวัย 54 ปี แวนดรอสส์ ขายอัลบั้มทั่วโลกได้มากกว่า 40 ล้านชุด เคยได้รับรางวัล แกรมมี่ ถึง 8 รางวัล และรางวัลทางดนตรีอีกมากมาย

เหตุที่ “Luther” น่าสนใจเพราะการติดอันดับ 1 บนตาราง ฮ็อท 100 ไม่ใช่เรื่องง่าย ยากยิ่งขึ้นเมื่ออยู่บนอันดับ 1 ติดต่อกันหลายสัปดาห์ (มากกว่า 5 สัปดาห์ขึ้นไป) และยิ่งยากกว่านั้นเมื่อเป็นผลงานที่ศิลปิน 2 รายมาทำร่วมกัน โดยไม่ใช่ศิลปินเดี่ยวหรือเป็นวงดนตรี หรือกระทั่งเป็นศิลปินที่ใช้ในนามศิลปินคู่หรือ ‘ดูโอ’

”Luther” กลายเป็นเพียง 1 ใน 15 เพลงฮิทโดยศิลปิน 2 รายร่วมกัน ที่ติดอันดับ 1 ติดต่อกันนานที่สุดตลอดกาล

ถ้าแยกออกมา “Luther” เป็นเพลงฮิทติดอันดับ 1 บนตาราง ฮ็อท 100 เพลงที่ 6 ของ ลามาร์ และเป็นเพลงอันดับ 1 เพลงที่ 3 ของ ซิซา

ข้างล่างถัดจากนี้คือรายชื่อ 15 เพลงที่ติดอันดับ 1 ต่อเนื่องกันนานที่สุดโดยศิลปิน 2 รายร่วมงานกัน ไม่นับศิลปินที่ปกติเป็นคู่ดูโออยู่แล้ว

ติดอันดับ 1 ต่อเนื่องกันนานที่สุดคือ 16 สัปดาห์ มีอยู่ 2 เพลง ได้แก่ “Despacito” โดย ลูอิส ฟอนซี่ กับ แด๊ดดี้ แยงกี้ (ฟีท. จัสติน บีเบอร์) ( 2017) และ “One Sweet Day” โดย มาไรอาห์ แครี่ย์ กับ บอยซ์ ทู เมน (1995)

13 สัปดาห์ มี 2 เพลง ได้แก่ “Luther” โดย เคนดริค ลามาร์ กับ ซิซ่า (2025) และ “The Boy Is Mine” โดย แบรนดี้ กับ โมนิก้า (1998)

11 สัปดาห์ คือ “I’ll Be Missing You” โดย พั๊ฟฟ์ แด๊ดดี กับ เฟธ อีแวนส์ (ฟีท. 112) (1997)

9 สัปดาห์ คือ “Endless Love” โดย ไดอาน่า รอสส์ กับ ไลโอเนล ริชี่ (1981)

7 สัปดาห์ มี 2 เพลง ได้แก่ “Stay” The Kid LAROI & Justin Bieber, Aug. 14, (2021) และ “Ebony and Ivory” โดย พอล แม็คคาร์ทนี่ย์ กับ สตีวี่ วันเดอร์ (1982)

และ 6 สัปดาห์ มี 3 เพลง ได้แก่ “My Boo” โดย อัสเชอร์ กับ อลิเซีย คีย์ส (2004), “I’m Your Angel,” โดย อาร์. เคลลี่ กับ เซลีน ดิออน (1998) และ “Say Say Say” โดย พอล แม็คคาร์ทนี่ย์ กับ ไมเคิล แจ็คสัน (1983)

พอล แม็คคาร์ทนี่ย์ เป็นคนเดียวที่ติดอยู่ในรายชื่อนี้ 2 ครั้ง

การร้องคู่กันของนักร้องมีมานานตั้งแต่อดีต โดยเฉพาะสายคันทรีจะมากสักหน่อย เหตุผลในการร่วมงานกันมีหลายอย่าง หนึ่งคือเพลงถูกแต่งขึ้นมาเจาะจงให้เป็นเพลงคู่, สอง-เป็นความตั้งใจศิลปินหรือนักร้องที่อยากทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเพราะเป็นเพื่อนกัน นับถือฝีมือซึ่งกันและกัน หรือแต่ละฝ่ายมีแนวเพลงต่างกัน ต้องการขยายขอบเขตดนตรีของตน และสาม-มีเป้าหมายเพื่อการขาย

ตัวอย่างของเหตุผลอย่างแรก เช่น “Up Where We Belong” เพลงรางวัลออสการ์จากหนัง An Officer and a Gentleman ที่ได้ โจ ค็อคเกอร์ มาร้องคู่กับ เจนนิเฟอร์ วอร์นส์ ส่วนเหตุผลที่ 2 ก็มีตัวอย่าง เช่น การทำอัลบั้มคู่กันระหว่างซูเปอร์สตาร์ป็อป เลดี กากา กับยอดนักร้องสแตนดาร์-ป๊อป โทนี เบนเน็ทท์ หรืออัลบั้ม Partners ของ บาร์บรา สไตรแซนด์ ที่เธอร้องกับศิลปินหลากหลาย ตั้งแต่ป็อปจนถึงโซล

แต่ที่มีน้ำหนักมากที่สุดคือ เหตุผล ‘เพื่อการขาย’ ซึ่งมักเกิดจากแรงผลักดันของต้นสังกัดเพลง เพราะศิลปินที่มีชื่อเสียง 2 คนมาร่วมกันออกผลงาน พอจะการันตีได้ว่าแทบไม่มีโอกาสขาดทุน เพราะอย่างน้อยที่สุดแฟนเพลงของแต่ละคนก็จะให้การสนับสนุนด้วยการซื้อผลงาน

เพลงคู่โด่งดังที่สุดของปีที่แล้ว (2024) คือ “Die With a Smile” จากการจับคู่ของซูเปอร์สตาร์แห่งยุค คือ เลดี กากา และ บรูโน่ มาร์ส เป็นการทำงานข้ามสังกัดระหว่าง แอ็ทแลนติค ของ บรูโน่ มาร์ส กับ อินเตอร์สโคป ของ เลดี้ กาก้า เพลงนี้ติดอันดับ 1 ทั่วโลก และกวาดรางวัลทางดนตรีมากมาย

การเกิดของเพลง “Die With a Smile” อาจจะมีทั้งสามเหตุผลรวมกัน แต่เมื่อประสบความสำเร็จท่วมท้น รวมถึงความสำเร็จของ “Luther” เป็นไปได้ว่า เพลงคู่ของศิลปินที่ต่างก็มีชื่อเสียงของตนจะยังเป็นที่ต้องการของธุรกิจดนตรี โดยเฉพาะยุคที่เงินทองหายากอย่างทุกวันนี้

Cr_ig: kendricklamar

About Author