เจ้าอาวาสวัดศาลารี ประกาศ เลิกลงนะหน้าทองแล้ว! ลั่นจะเปลี่ยนเป็นบรรยายธรรม
ไม่ดื้อ! เจ้าอาวาสวัดศาลารี ประกาศเลิกลงนะหน้าทองแล้ว! ลั่นจะเปลี่ยนเป็นบรรยายธรรม ศิษย์เอกรู้สึกผิด ทำให้เดือดร้อน “จตุรงค์” ฝากข้อความแซ่บถึงสำนักพุทธ
กรณีข่าวฮือฮา “พระครูสมุห์นพดล ปิยธมฺโม” เจ้าอาวาสวัดศาลารี ต.บางไผ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี เขียนยันต์ ลงนะหน้าทอง เจิมหน้าผากด้วยแผ่นทองคำเปลว เขียนยันต์หัวใจมหาเศรษฐีลงบนฝ่ามือ และ การลงนะหน้าทองแบบเต็มใบหน้า เพื่อเสริมสร้างสิริมงคล หนุนดวง มีผู้มาต่อคิวรอเป็นจำนวนมาก
รายการโหนกระแสวันที่ 19 ม.ค. 65 “ภาษิต อภิญญาวาท” ดำเนินรายการแทน “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.35 น. ทางช่อง 3 กดเลข 33 สัมภาษณ์ พระครูสมุห์นพดล ปิยธมฺโม มาพร้อม ที ศิษย์เอก และ อ. จตุรงค์ จงอาษา นักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา
คุณที คุณเป็นคนชักนำพระอาจารย์เข้าวงการ?
ที : ใช่ เป็นคนชอบลง นะหน้าทอง และสักยันต์อยู่แล้ว มีโอกาสนิมนต์ท่านมาทำพิธีที่บ้าน เนื่องจากขึ้นบ้านใหม่ ท่านมาถึงสวดเสร็จก็สอนนั่งสมาธิ
ที่วัดลงนะหน้าทอง เขียนยันต์หัวใจมหาเศรษฐี เสริมดวงชะตา มหาเสน่ห์ โชคลาภ บางคนถึงขั้นบอกว่าใบ้หวยด้วย อาจารย์กำลังอาศัยความเชื่อชาวบ้านหลอกลวง หาเงินเข้าวัด เป็นเรื่องจริงมั้ย?
พระครูวสมุห์นพดล : ถ้าบอกว่าหลอกลวง อาตมาไม่ได้หลอกลวงใคร โยมมาขอให้เราช่วยเจิมหน้าผากให้หน่อย แรกๆ เลย เราก็บอกว่าเจิมทำไม จริง ๆ คำว่าลงนะหน้าทองเกิดขึ้นเพราะสื่อต่างๆ ระบุว่าการทำแบบนี้คือนะหน้าทอง แต่จริง ๆ คือเป็นการเตือนสติคน ๆ นั้นเท่านั้นเอง
ยืนยันไม่ได้หลอกลวง?
พระครูวสมุห์นพดล : ไม่ เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เลย เราไม่ได้คิดเลย แถมบอกว่าหลวงพ่อทำให้ไว้ แต่ถ้าโยมไม่มีตังค์สักบาท ไปเก็บขยะให้หลวงพ่อหน่อยสิ จะได้เกิดบุญกุศลขึ้นในใจ ไม่มีค่าใช้จ่าย
วันนี้สำนักงานพุทธศาสนาสั่งแล้วไม่ให้ทำ ให้งดทำกิจกรรม จุดเริ่มต้น เข้าสู่วงการทำนะหน้าทอง มันมีที่มาที่ไปยังไง?
พระครูวสมุห์นพดล : จริง ๆ ลูกศิษย์นิมนต์ไปทำบุญบ้าน เราสวดมนต์เพียงเล็กน้อย แล้วชวนลูกศิษย์ทำสมาธิ จริง ๆ เราชอบทำสมาธินะ ลูกศิษย์กลับมาที่วัดบอกว่าเขาชอบเรื่องลงนะหน้าทอง อาตมาไม่รู้จักหรอก เพราะไม่ดูทีวีมาเป็น 10 ปีแล้ว เขาทำไง เขาบอกว่าจิ้มแล้วเจิม อ้าว เจิมก็เจิม ยังไม่รู้เหตุผล แต่ในใจคิดว่าการเจิมหน้าผากคือจุดศูนย์รวมของสมาธิ เพื่อให้ทุกคนรู้จักมีสมาธิและตั้งตนดำรงชีวิต แค่นั้นเองที่เราคิดในตอนนั้น ธีร์คือคนแรกที่ขอให้ช่วยเจิมหน้าผากให้หน่อย
ผ่านมากี่ปีตั้งแต่วันนั้น?
พระครูวสมุห์นพดล : ยังไม่ถึงปี
แล้วที่ลงนะหน้าทองเต็มหน้า ระยะเวลานานแค่ไหนที่ทำ?
พระครูวสมุห์นพดล : พอมีข่าวปั๊บก็ไปดูที่ลูกศิษย์โพสต์กัน วันที่เขาลงยังไม่ถึงเดือนเลย เริ่มลงนะหน้าทองเต็มหน้ายังไม่ถึงเดือน
วันนี้กลายเป็นทองเต็มหน้าขึ้นมาได้เพราะอะไร?
พระครูวสมุห์นพดล : ลูกศิษย์เอาทองมาให้หลวงพ่อ เขาแปะ ๆ เสร็จแล้วบอกให้เขียนให้หนูหน่อย ก็เขียนทำไมน้อ เขาบอกถ้าจะลงนะหน้าทอง ก็จะปิดทองให้เต็มที่ เราก็ไม่เป็นไร เขียน มะอะอุลงไปที่ใบหน้า ให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แค่นั้นเอง ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวกับอักขระ หรือเมตตา คนละเรื่องกัน
ตอนที่ลูกศิษย์มาแล้วทองเต็มหน้า พระอาจารย์ต้องแปะทองให้ก่อนมั้ย?
พระครูวสมุห์นพดล : ไม่ ๆ ผู้หญิงเขาแปะมาก่อน แต่นอกจากผู้ชายบางคนขอหลวงพ่อช่วยแปะให้หน่อยสิ เราก็แปะสุ่มสี่สุ่มห้าไป เหมือนปิดทองหน้าพระ เราก็คิดในใจว่าใช้เราปิดทอง ประมาณนี้ เราเคยเป็นสัปเหร่อมาก่อน เราก็คิดในใจหน้าเหมือนศพเลย จะแปะยังไง (หัวเราะ) ครั้งแรกที่เห็นเขาแปะมา แล้วก็ไม่รู้จะเขียนอะไร ก็เอามะอุอุ พระพุทธเจ้าไปแล้วกัน ไม่มีคัมภีร์ใดๆ เราลงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย
คนแรกเป็นผู้หญิง หลังจากนั้นก็เริ่มแปะเอง?
พระครูวสมุห์นพดล : เฉพาะผู้ชายที่เขาให้แปะ เพราะปกติเราไม่แปะเอง เพราะเราไม่มีทอง ต้องให้เขาเอามากันเอง เพราะราคาแพง จะซื้อมาให้เขียนทำไม เราคิดในใจ ไม่กล้าพูด เราก็อนุเคราะห์ตามที่เขาร้องขอมา เพราะปกติเราไม่ค่อยขัด ศรัทธาของโยมอยากให้ทำให้ก็ทำ แต่คาถาอาคมไม่ได้ใช้อะไรมากมาย นึกกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
คุณที อะไรดลใจให้พระอาจารย์ทำพิธี?
ที : เราเป็นคนนั่งสมาธิต้องใช้เวลา แต่ปรากฏว่านั่งกับพระอาจารย์ สมาธิเราเข้าไว เราก็คิดว่าพระอาจารย์ต้องมีของดี เราอยากขออะไรที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้กับเรา ก็นิมนต์มาทำพิธีที่บ้าน ตอนนั้นก็ถามว่าพระอาจารย์ลงนะหน้าทองเป็นมั้ย พระอาจารย์ก็ถามว่าต้องทำยังไงเหรอ เราก็บอกเนี่ย เขาลงกันแบบนี้ ๆ เราก็เปิดให้ดู พระอาจารย์ลองเจิมให้หน่อย พระอาจารย์ก็เจิมให้ เราชอบสักยันต์ แค่นี้ไม่พอ เราก็ขอเพิ่มความมั่นใจอีก ก็ถามว่ามีอะไรสักมั้ย ผมชอบสักมาก พระอาจารย์บอกว่าไม่มี เราก็บอกว่าเขียนให้ก็ได้ พระอาจารย์ก็เจิมให้ในมือ หลังจากนั้นก็เกิดความมั่นใจ เราไปดีลลูกค้า ลูกค้าเมตตาเรา เราไปเจอผู้หลักผู้ใหญ่เขาก็เมตตาเรา เราเลยคิดว่ามันสร้างกำลังใจให้กับเรา เราเลยชวนเพื่อนมาเรื่อย ๆ คนก็เริ่มมาเยอะขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ละวันคนไปเข้าแถวต่อคิวเป็นร้อย?
พระครูวสมุห์นพดล : ไหลมาเรื่อย ๆ ทั้งวัน ก็อยู่ที่ประมาณร้อยขึ้น ร้อยต้น ๆ
ตอนคุณทีบอกพระอาจารย์ ขั้นตอนพิธีการเอามาจากไหน?
ที : จริง ๆ เราชอบเรื่องนะหน้าทอง ก็เสิร์ชทางอินเตอร์เน็ตนี่แหละ เราก็เห็นพระอะไรที่ขึ้นมา เราก็ไปหาหมอเลย เราเป็นคนขาดความมั่นใจ ก็ไปหาเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
เสิร์ชให้พระอาจารย์ดู แล้วให้พระอาจารย์ทำตาม?
ที : เราเห็นเขาลงที่หน้าผาก ก็ให้พระอาจารย์เจิมที่หน้าผาก อย่างนั้นเลย
จนวันนี้คนแน่น เชื่อกันตลอด คิดว่าเป็นเพราะอะไร?
ที : คนอื่นผมไม่ทราบแต่สำหรับผมเอง ผมเจิมแล้วมีความมั่นใจทุกครั้งที่ไปเจอลูกค้า มีความมั่นใจที่เจอนายทุน มีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นเยอะ บางครั้งเรามีสมาธิ หรือจากเราเพ่งทอง แล้วก็ขอ อาจเกิดจากสมาธิจากจุด ๆ นั้น ทำให้เรามีความมั่นใจเกิดขึ้น
คนอาจมองว่าเป็นแผนการตลาดหรือเปล่า สร้างธีมกันขึ้นมา จากเดิมแปะทองอันนึง เป็นการแปะทั้งหน้า เพื่อให้คนหลั่งไหลกันมา?
พระครูวสมุห์นพดล : อาตมาไม่ได้คิดเรื่องปัจจัยอะไรต่าง ๆ หรือคนเข้ามา เราไม่ได้สนใจเลย ตั้งแต่แรก สนใจแต่สิ่งที่เขามาขอให้ช่วยหรือทำ ลูกศิษย์นำทองมาเต็มหน้าให้เราเขียน เราก็งงนะ แต่เราก็เขียนไปตามนั้น เราไม่ดูทีวีมาเป็นสิบปี
มุมคุณทีคนอาจมองว่าเราเป็นขบวนการหรือเปล่า สร้างสตอรี่ขึ้นมา จนคนหลั่งไหลมาขนาดนี้?
ที : ผมไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับวัด แล้วจะให้ผมมาทำการตลาดให้วัด ผมจะทำเพื่ออะไร ที่ผมเข้ามาเพราะผมต้องการเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ จริงๆ ไม่ต้องมาหาพระอาจารย์ ก็มีที่ลงนะหน้าทองที่อื่นมากมาย ตอนนี้อาจเป็นช่วงที่คนต้องการกำลังใจด้วยสภาพเศรษฐกิจเป็นแบบนี้ การไปเจอลูกค้าหนึ่งท่าน นั่นหมายถึงเงินเดือนพนักงานเกือบทั้งปี เราต้องเสริมความมั่นใจให้มากพอ
พระครูวสมุห์นพดล : อาจจะลืมสิ่งที่เราชวนเขาครั้งแรกที่มาหาเรา ทีลองบอกสิพระอาจารย์ชวนทำอะไรในเบื้องต้น
ที : จริง ๆ หลักของพระอาจารย์ชวนนั่งสมาธิ สวดมนต์ภาวนา สอนถือศีลห้า ความอดทน ความมีเมตตา เวลาเราไปเจอคนต่างๆ นี่คือสิ่งที่พระอาจารย์เน้นย้ำอยู่เสมอ พระอาจารย์พูดประจำว่าอย่าหลงทางนะที ยึดจิตเมตตา ยึดศีลห้าเข้าไว้นะลูก นี่คือสิ่งหนึ่งที่เวลาผมมีปัญหาก็มาหาท่าน แล้วเจิมนะหน้าทองเพื่อเป็นแรงบันดาลใจ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจสำหรับผม
พระอาจารย์คิดค่าครูเท่าไหร่?
พระครูวสมุห์นพดล : ไม่มีนะ ไม่มีค่าครูเลย มีแค่ตู้ค่าน้ำค่าไฟ แต่ละวันเปิดมาก็ 5-6 พัน ในช่วง 4-5 วันนี้ที่คนแห่มาหลักร้อยแต่ก่อนก็ไม่ถึง แรกๆ สูงสุดก็ 300 กว่าบาท ไม่ถึงเดือนนี่แหละที่วันละ 5-6 พัน แต่ก็แอบดีใจนะ เราสร้างห้องน้ำมาปีนึงแล้ว ได้แค่มุงหลังคา
อาจารย์ยังไงดี?
จตุรงค์ : สำหรับผมไม่ใช่เรื่องแปลกใจ แต่ละวัดมีกิมมิกไม่เหมือนกัน ก็ยอมรับว่าเป็นความเชื่อดั้งเดิมที่อยู่ในเมืองไทยมานานแล้วกับการลงนะ เพียงแต่หลักสำคัญอยู่ที่นะไง ไอ้ทองคืออุปกรณ์ทีหลัง หลักการคือการลงนะ นะโมพุทายะ แค่นั้น แต่ทองมาจากไหน ทองมาจากการที่เราไม่ต้องการให้พระไปโดนตัวสีกา เลยมีแผ่นทองในการป้องกันอีกชั้นนึง แต่ไปๆ มาๆ พอทำแล้วดูขลัง ศักดิ์สิทธิ์ เลยเป็นที่นิยม ไม่ได้ทำแค่ผู้หญิง มีทำในผู้ชาย แผ่นทองก็เริ่มมากขึ้น จาก 1 แผ่น 3 แผ่น อดีตนายกฯ ของประเทศไทยไปทำที่เชียงใหม่ 9 แผ่น คุณบุ๋ม ปนัดดาไปทำก็เต็มหน้าเลย ที่เขียงใหม่เหมือนกัน มันขยายตัวจาก 1 แผ่น เป็นเต็มหน้า มันคือการกลายพันธุ์ทางความเชื่ออย่างนึง แต่ถามว่าผิดหรือถูก อยากให้ย้อนกลับไปดูที่เจตนา มีงานวิจัยอยู่งานนึง ทำที่จังหวัดสุพรรณบุรี งานวิจัยชื่อการใช้บริการหมอทำเสน่ห์ในจังหวัดสุพรรณบุรี ในงานวิจัยพูดชัดว่าคิดค่าทำที่ 1 หมื่น ค่าครู 400 อย่างนี้ถ้าพระคุณเจ้าคิดค่าบริการเหมือนงานวิจัยที่ปรากฏที่สุพรรณบุรี สำหรับผมคือผิด ท่านจะมาคิดค่าบริการเหมือนสปาไม่ได้โดยเด็ดขาด แต่ถ้าท่านพูดเองว่าแล้วแต่ศรัทธา แค่จิ้มให้เฉยๆ เป็นขวัญและกำลังใจ ผมอนุโลมหยวนให้ แต่คนตัดสินได้ คงเป็นเจ้าคณะปกครอง เจ้าคณะตำบล อำเภอ จังหวัด รวมถึงมหาเถรสมาคมก่อน แล้วค่อยไปถึงสำนักพุทธ
พระอาจารย์เอาอุปกรณ์มาแล้ว อยากให้ลองทำ?
พระครูวสมุห์นพดล : อุปกรณ์แบบนี้พระทุกรูปก็น่าจะมี ไม่ได้นอกเหนือจากพระหลายรูปมี วิธีการจริง ๆ ตอนลูกศิษย์มาขอครั้งแรก เราไม่รู้จักนะหรอกนะ แต่เขาบอกว่านะหน้าทองต้องมีแผ่นทอง เขาเตรียมมาให้ เหลือจากการทำบุญบ้าน เราก็จิ้มเหมือนเวลาเจิมบ้าน จิ้มไปที่แผ่นทอง ไม่ได้ทำอะไรเลย จิ้มไปที่หน้าผาก ระลึกไว้ว่า มะอะอุ ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แค่นี้เอง ไม่มีอะไรที่เป็นอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ อิติปิโส แค่นี้เลย ส่วนปากกาเกิดขึ้นในช่วงหลัง หลังจากจิ้ม คุณทีเขาชอบเรื่องสักยันต์ ให้สักให้หน่อย แต่เราบอกว่าไม่เอาเข็มจิ้มเนื้อใคร ก็เอาเขียนให้ที่ฝ่ามือแล้วกัน สิ่งแรกก็ลากเส้นให้ตรง นะโมก็เขียนธรรมดา ไม่ลืมมะอะอุ ใส่ตัวอนุโลมไปปกติ
จตุรงค์ : ถ้าถามผม ตราบใดที่ไม่ได้มีมาในเรื่องการเรียกเงิน เรียกทอง อันสูงค่าเกินไป ถ้าทำเพื่ออนุเคราะห์ ศรัทธา ทำเพื่อกำลังใจญาติโยมผมก็หยวนให้ ขั้นตอนที่ทำเมื่อกี้ไม่มีปัญหาเลยเพราะโอเคหมด แต่ไม่โอเคอย่างเดียว พอนะหน้าทองที่ฟลูเฟซ มันไปพ้องกับการทำสปาทางอังกฤษ ปากีสถาน เกาหลี คือการทำมาสก์ด้วยทองคำแบบเต็มหน้า คุณก็ต้องเข้าใจก่อนที่เป็นกระแสเพราะดันไปคล้ายกับการทำสปาแบบนั้น แต่ถ้าแค่นี้มันโอเค ไม่มีปัญหา
ปกตินะหน้าทองทำแบบนี้หรือเปล่า?
จตุรงค์ : ไม่ แล้วแต่คาถาใคร คาถามัน แต่โดยหลัก ๆ นะโมพุทายะ คาถาเขาเป็นแบบนั้น แต่ละคนคาถาไม่เหมือนกัน สูตรใครสูตรมัน ฝ่ายฆราวาสเขาอาจมีคาถาเขมร อะไรของเขาไป พระบางรูป อาจสั้นๆ หน่อย อย่างพระอาจารย์เอาแบบสั้นๆ แต่ละวัดทำไม่เหมือนกัน อย่างอดีตนายกฯ ไปทำที่เชียงใหม่ใช้ทอง 9 แผ่น เขาก็ดังอยู่ แผ่นเดียวที่ดัง ๆ ก็ที่อยุธยา วัดป้อมรามัญ แต่ละที่ไม่เหมือนกัน ถ้าแค่นี้แล้วมีการให้โอวาทสั้นๆ ถ้าจะแย้งคือถ้าท่านบอกว่าทำแล้วรวยๆ ปังๆ เฮงๆ อย่างนี้ไม่ได้ ต้องถามว่าสำนักพุทธมีกระบวนการสอบสวนที่ดีหรือยังกับพระรูปนี้ว่าที่ทำมาในอดีต ท่านทำแบบรวยๆ ปังๆ เฮงๆ อย่างนี้ไม่โอเค ถ้าทำแบบร่ายมนต์คาถา จัดใหญ่เล่นใหญ่ก็เพื่ออะไร เน้นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรือเปล่า บางวัดก็ทำในกรอบพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ บางวัดทำรวยๆ ปัง ๆ เฮง ๆ ก็มี ถ้าทำแล้วไม่เก็บเงินพอรับได้ แต่ถ้าเก็บเงินอันนี้ก็ไม่ไหว
คุยกับ “สมบัติ พิมพ์สอน” รองโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ไปตรวจที่วัดศาลารีมาแล้ว และสั่งห้ามทำพิธีเหล่านี้ สั่งห้ามตลอดไปเลยมั้ย?
สมบัติ : กรณีวัดศาลารี มอบให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนนทบุรี ร่วมกับเจ้าคณะผู้ปกครอง สังฆาธิการ ไปลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ห้ามไม่ให้ท่านกระทำอย่างนั้นอีกต่อไป ท่านก็รับปากจะไม่ทำอีก
เป็นการอวดอุตริ หลอกชาวบ้าน หากินกับชาวบ้านมั้ย?
สมบัติ : ไสยศาสตร์กับพุทธศาสตร์เป็นของที่อยู่คู่สังคมไทยมาเป็นระยะเวลานาน คนที่ไปวัดส่วนใหญ่ก็มีความหวัง หาที่พึ่งทางใจ ไปแล้วคิดว่าจะทำให้ชีวิตตัวเองดีขึ้น ตามที่มีการชวนเชื่อหรือกระแสที่ได้ยินมา ถ้าอวดอุตริคือต้องอวดว่าตัวเองบรรลุธรรม หมดสิ้นกิเลส แต่นี่เป็นอีกระดับนึง อาจเป็นอาบัติเพียงเล็กน้อย
ต้องมีบทลงโทษอะไรตามมา?
สมบัติ : เป็นการคาดการ กล่าวตำหนิโทษไว้ ซึ่งเป็นคำสั่งพระสังฆราชเดิมนานแล้ว ห้ามภิกษุกระทำเช่นนี้ ในฐานะเป็นองค์กรสูงสุดคณะสงฆ์ จะนำเรื่องนี้เข้าสู่กระบวนการมหาเถรสมาคมอีกครั้ง
วัดศาลารีทำมาเป็นปี ไม่นับวัดอื่น ๆ ที่ทำแบบนี้ สำนักงานพระพุทธศาสนา ทำไมเพิ่งมาประชุมกันช่วงนี้?
สมบัติ : เราได้หารือกันว่าจะนำเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนสำคัญประชุมเถรสมาคม เพื่อที่จะมีข้อเป็นมติเพิ่มเติมขึ้นมา อย่างที่เรียนมติเกี่ยวกับเรื่องนี้ มีออกมาเป็นระยะเวลานานแล้ว ตั้งแต่ 2467 แต่ในทางวินัยก็มีอยู่ ไม่ใช่ไม่มี แต่เป็นอาบัติเพียงเล็กน้อย ลงโทษปรับประมาณนี้
มันอาจไม่ถูกต้องซะทีเดียว หลังจากนี้อาจารย์จะคิดวิธีทำให้เหมาะสม ตอนนี้ไปถึงขั้นไหนแล้ว?
พระครูวสมุห์นพดล : วิธีที่เราคิดสิ่งแรกเลย หยุดการกระทำที่เขากำลังกล่าวถึงกันอยู่ เปลี่ยนมาบรรยายธรรม พรมน้ำมนต์ ให้ขวัญกำลังใจ ตัดปัญหากระแสสังคมต่าง ๆ ในเมื่อสังคมมองว่าการกระทำเหล่านี้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นที่พึ่งทางใจให้ทุกคน อาตมาก็นึกถึงตอนพระพุทธเจ้าไปเจอองคุลีมาน เราหยุดแล้ว ท่านหยุดหรือยัง คำนี้น่าจะช่วยเหลือเราได้ เราก็หยุดเลย
คนวิจารณ์หลอกลวงชาวบ้านในฐานะศิษย์เอกที่ชักนำเข้าวงการ วันนี้จะยังไง?
ที : ในเมื่อพระอาจารย์หยุด ผมก็หยุดครับ แต่สิ่งหนึ่งก็ประพรมน้ำมนต์ต่อ เพื่อหาแรงกำลังใจให้ตัวเอง หาสิ่งยึดเหนี่ยว ผมชอบปฏิบัติธรรมอยู่แล้ว ถ้าผมได้นั่งสมาธิปฏิบัติธรรมต่อไป อาจไม่ต้องพึ่งอย่างนี้ก็ได้
อาจารย์ท่านหยุดแล้ว?
จตุรงค์ : ถ้าทำแค่เหมือนที่ทำกับคุณไก่ ผมก็ไม่มีปัญหา แต่เมื่อกี้ที่อ้างคำสั่ง 2467 ก็น่าเป็นห่วงเหมือนกัน เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะปกครอง บางรูปยังทำอยู่เลย แล้วถ้าจะมาสั่งแต่พระตัวเล็กๆ แต่พระตัวใหญ่ๆ คุณไม่ได้สั่งให้เขาหยุด มันต้องไปทั้งหมด ต้องบังคับให้ไปทางเดียวกันทั้งหมด ไม่ใช่จะมาบังคับเฉพาะพระตัวเล็กๆ แต่พระตัวใหญ่ๆ ประชุมอยู่ในมส. ไม่ได้ห้ามเขา พระตัวใหญ่ๆ ยังทำเหมือนกัน แต่ที่แปลกใจ สมัยคุณบุ๋ม ปนัดดาไปทำฟลูเฟซเหมือนกันที่เชียงใหม่ แต่ไม่เป็นข่าว เขาทำมาหลายปีก่อน ผมเห็นครั้งแรกจากคุณบุ๋มนั่นแหละ ผมว่าการขยายตัวโปรดักซ์เกาหลีมันมีมากขึ้น สมัยก่อนการทำโกลด์สปา มีแค่ปากีสถาน แล้วลามมาอังกฤษ สักพักสินค้าพวกมาสก์ก็ระบาดที่เกาหลี ตอนนี้เด็กรุ่นใหม่จะคุ้นกับการมีทองคำเต็มหน้า มาจากเครื่องสำอางนะ มันเลยผนวกกัน พอมาวันนี้พระท่านเจิม แล้วอยู่เต็มหน้าเลยก็ตกใจ ไม่คุ้นเคยหรือเปล่า
“พระพยอม” อยู่ในสาย เอาตรง ๆ เลย ยังไงกับการลงนะหน้าทองของวัดศาลารี?
พระพยอม : อย่างที่อาจารย์กล่าวๆ กันนี่แหละ แต่ก่อนแค่รดน้ำมนต์ให้ศีลให้พรก็รับกันได้ ไม่มีใครตำหนิติเตียนอะไร ช่วงนี้โควิด เรื่องสัมผัสอาจไม่ถึงแตะเนื้อต้องตัว แต่อุปกรณ์ที่ใช้ไม่ยาวเท่าไหร่ อย่างหลวงพ่อคูณท่านมีไม้ยาวๆ เคาะให้ แล้วแต่ละยุคแต่ละสมัย แต่งานนี้ เวลาเจิมสำคัญ การอยู่ใกล้กันนานๆ พระพุทธเจ้า เวลาพูดคุยกับสีกา ในวินัยยังบอกว่าคุยได้ 6 คำ มิฉะนั้นจะเป็นอาบัติเล็กน้อย แต่นั่งอยู่นาน ๆ คุยกันนาน ๆ ใกล้ด้วย ชิดด้วย นานด้วย อันนี้เป็นสิ่งที่เสียเวลา เสียกิจอื่น ๆ ที่จะได้เอาไปทำในชีวิต
ทำทั้งหน้าอย่างนี้ อวดอุตริมั้ย?
พระพยอม : ต้องถามเจตนาท่านว่าอวดมั้ย เข้าฌานได้ เสกเจิมได้ อ้างแบบนั้นถึงเป็นอาบัติ ขาดจากความเป็นพระ อย่างนี้ไม่ถึงขั้น แต่ชาวโลกติเตียนชัวร์
พระอาจารย์ว่ายังไง พระพยอมกังวลเรื่องโควิด สองเรื่องผิดธรรมวินัยและโลกวัชชะ?
พระครูวสมุห์นพดล : ขอบพระคุณหลวงพ่อ ที่ได้ติเรื่องบางเรื่องที่ไม่ควร กระผมก็รับทราบ และปฏิบัติการแก้ไข ที่ท่านบอกใกล้ชิดกันมากเกินไป อาตมาก็เข้าใจ เรื่องโลกวัชชะ ก็หยุดการลงนะหน้าทองอย่างสมบูรณ์แบบ
พระพยอม : อนุโมทนาด้วยครับ
พระครูวสมุห์นพดล : ขอบพระคุณหลวงพ่อที่ให้คำติเตือน อันไหนควรทำเราก็จะทำต่ออันไหนมิควรก็จะไม่ทำครับ
ประเทศไทยทำทั้งประเทศ ที่ไหนก็มี ลงนะหน้าทองมีหลากหลายรูปแบบ แล้วเราจะไปยังไงกันดี?
พระพยอม : อนุโมทนากับพระท่าน พระพุทธเจ้าบอกว่าใครถูกตำหนิติเตียนแล้วรู้ตัวแก้ไข มีโอกาสเป็นบัณฑิตได้ แต่ถ้าผิดแล้วไม่รู้ว่าผิด ทำผิดเรื่อยไป ก็เสียโอกาสเป็นบัณฑิตได้ ต้องอนุโมทนากับท่านที่ไม่เป็นพระหัวดื้อ ดื้อรั้น ผู้หลักผู้ใหญ่ เจ้าคณะจังหวัดสำนักพุทธให้ข้อคิดไปแล้ว ท่านก็ยอมรับ ถือว่าท่านมีโอกาสเป็นบัณฑิตได้ แต่ถามว่าเต็มบ้านเต็มเมืองทำ เราจะเอาเสียงคนส่วนใหญ่ที่ทำอะไรมาปกปิดห่อหุ้มเนื้อแก่นของศาสนา เราอย่าไปเห็นดีเห็นงาม ชื่นชมกันนักเลย เพราะว่าเราก็รู้อยู่แล้วว่าไสยศาสตร์กับหลักทางพุทธศาสตร์ ถ้าเราหลงฤทธิ์ เราพลัดหลักไปเรื่อยๆ เอาฤทธิ์มาห่อหุ้มหลักคำสอน พระพุทธเจ้าท่านบอกแล้วว่าการอวดฤทธิ์ควรอวดอย่างเดียว เรื่องเทศนากับใจคน สอนคนกลับใจ นั่นคือฤทธิ์ที่พระพุททธเจ้าสรรเสริญ ฤทธิ์นอกจากนั้นพระพุทธเจ้าตำหนิไม่ควรทำ ฉะนั้นถ้าเราคิดว่าเรื่องนี้ควรทำ ก็เข้ากับข้อที่ว่าควรทำสิ่งที่ไม่ควรทำ ควรงดแต่กลับทำ รับได้ในสิ่งที่เราไม่เคยรับกันมาก่อน
เราคุยประเด็นนี้มาเป็นสิบปี เหมือนหนักขึ้นหรือเปล่า เป็นเพราะอะไร?
พระพยอม : มันเป็นทุกยุคแหละ ยุคนึงพระราชาเด็ดขาด อย่างพระเจ้าอโศกมหาราช ประหารพระไปหลายรูป 400-500 รูป เพราะทำนอกลู่นอกทาง ประหารเลย มีอีกช่วงนึง ช่วงร. 3 หรือ ร. 4 มีสักหน้ากันเลย มีการลงโทษ เหมือนมีตร.พระ ต่อมามีการตั้งสำนักพุทธ แต่ก็เกิดมาเรื่อย ๆ
กำลังจะบอกว่าถึงขั้นประหารไปแล้ว จนตอนนี้มีสำนักพระพุทธแล้ว ไม่ได้ช่วยอะไร?
พระพยอม : เรือนจำไม่ว่างนักโทษฉันท์ใด ผู้ก่อโทษในธรรมวินัยย่อมไม่ขาดไปฉันท์นั้น อย่าลืมนะ เหมือนขยะในทะเล จะถูกซัดขึ้นฝั่งฉันท์ใด ธรรมวินัยนี้ก็ซัดผู้ที่นอกรีดนอกรอยขึ้นฝั่งฉันท์นั้น
ฟังแล้วสิ้นหวัง?
จตุรงค์ : ไม่เห็นต้องสิ้นหวัง ต้องทำใจ เป็นเรื่องศรัทธา ใครศรัทธาอะไรก็ไปอย่างนั้น ใครสายวิปัสสนา ก็ไปวิปัสสนา ใครชอบสายวัดป่าก็ไปวัดป่า ใครชอบสายบาลีก็ไปบาลี มันอยู่คู่สังคมไทย เป็นความหลากหลายอย่างนึง ถ้าท่านเจ้าอาวาสวัดศาลารีทำแค่นี้ก็ทำไปเถอะ ใครๆ เขาก็ทำกัน แต่ถ้าฟลูเฟซเต็มหน้าก็ไม่ไหว อยู่ให้มันถูกให้มันต้อง อยู่เพื่อโปรดญาติโยม เป็นขวัญและกำลังใจให้ญาติโยม ไม่ได้เป็นธุรกิจ การตลาด เป็นกิมมิก เพื่อเรียกเงินจากญาติโยม ผมว่าเป็นอะไรที่รับได้ ถ้าเป็นภาคธุรกิจ ต้องใส่ซองหนัก ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย โปรโมตว่าฉันเป็นผู้วิเศษ แต้มทีเดียวขายของดี ได้โชค อันนั้นก็เกินเบอร์ไป ต้องหาความพอดีเรื่องพวกนี้ให้ได้
ความเป็นศิษย์เอก เราเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้น ที่ทำให้เกิดข้อวิจารณ์?
ที : ผมรู้สึกผิดที่นำพระอาจารย์มา สิ่งหนึ่งคือผมจะหาที่พึ่งทางจิตใจทางอื่นมากกว่า ไม่ใช่ทางนี้อีกต่อไป จะสวดมนต์มากขึ้น หรือฟังคำสอนพระอาจารย์มากขึ้น ทีนี้ที่นี่อาจกลายเป็นที่ปฏิบัติธรรมในอนาคต และผมก็ร่วมอนุโมทนา และร่วมปฏิบัติธรรมที่นี่ด้วย