คุยแซ่บShow

“จีน่า วิรายา” เคลียร์ชัดหนุ่มปริศนา แท้จริงแล้วเป็นใคร-ย้อนเล่านาทียุติสัมพันธ์หนุ่มในวงการบันเทิง

สวย แซ่บ สตรอง สำหรับ จีน่า วิรายา หรือ จีน่า เดอะเฟซ ที่วันนี้ขอเปิดใจหลังผ่านมรสุมความรักครั้งเก่า ที่ทำเอาเจ้าตัวถึงกับบอกว่าเข็ดความรัก พร้อมตอบประเด็นหนุ่มปริศนาที่ถ่ายรูปคู่กัน สรุปเขาเป็นใครกัน ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องOne31 ที่มี หนิง ปณิตา และ เป็กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ อกหักผ่านมา 1 ปีแล้ว ไม่รู้จิตใจเข้มแข็งไปถึงไหนแล้ว? จีน่า : ตอนนี้ดีแล้วค่ะ หลาย ๆ คนห่วงจีน่า น้ำหนักลดไป 7 กิโล? จีน่า : ใช่ ตอนนั้นย้อนกลับไปปีที่แล้ว เราไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอกหักได้ไหม เพราะเราเป็นคนเดินออกมาเอง แต่ว่ามันเดินออกมาในสภาพที่เราก็ยังรักเขาอยู่ แต่ก็พอแค่นี้ดีกว่า มันเหมือนภายใน 2 อาทิตย์นั้นฮวบไปเลย แต่เราก็กินนะ แต่หนูว่าข้างในมันไม่ได้ดี 2 อาทิตย์ 7 โล ข้าวก็กินทำไมมันลดเยอะ? จีน่า : ข้าวมันไม่ค่อยได้กินหรอก กินคำนึงก็ถือว่ากินแล้วไง ทำไมถึงเลือกเดินออกมาเอง? จีน่า : พออายุเราแตะเลข 3 แล้วหนูรู้สึกว่ามันควรเริ่มมองอนาคต ต้องท้าวความก่อนว่า แฟนคนแรกหนูคบมา 9 ปี แล้วหนูมองอนาคนกัน สุดท้ายมันไม่ไหวจริงๆ เรายื้อกันสุดๆ แล้วมันไม่ไหว เราออกมา หนูเลยรู้สึกว่าถ้าคนต่อไปถ้ามันไม่ใช่ เรารีบพอดีกว่า อย่ายื้อให้เสียเวลาทั้งคู่  คือพ้อยท์ไม่ตรงกัน? จีน่า : ใช่ คือเขาอายุน้อยกว่าหนูด้วย เขายังใช้ชีวิตอยู่ แต่ส่วนหนูมองไปถึงอนาคตแล้ว ถ้าสมมติมันไม่ได้ตรงกันก็พอดีกว่า ตอนที่เราเดินออกมา มันมีการยื้อกันเกิดขึ้นไหม? จีน่า : ยื้อๆ เขาก็พูดว่า เพราะอะไร หนูก็พูดขึ้นมทท้้งหมด เขาก็แบบมาแก้ไขทีละจุดไหม เราเคยคุยประเด็นเหล่านี้มาบ้างแล้ว ถ้ามันยังไม่ตรงกันสักทีก็พอดีกว่า แต่ว่าก็ยังคุยกันอยู่นะคะ ในช่วงประมาณ 3 อาทิตย์นั้น เดือนนั้นก็ยังคุยกันอยู่ ตลอดเวลาปีกว่า ๆ จีน่าซัพพอร์ตตัวเองยังไง? จีน่า : หนูแค่รู้สึกว่าเราต้องไม่รีบกับความรัก เพราะถ้ารีบ จะพูดว่าที่ผ่านมาไม่ดีก็ไม่ได้ แต่หนูค่อนข้างแมนมาก เป็นคนเร็วมาก รู้สึกอะไรก็พูด อยากทำอะไรก็ทำ เป็นคนทุ่มเทให้กับความรัก เป็นคนศรัทธาในความรักมาก เราเลยรู้สึกว่าลองช้าลงหน่อยไหม  ใครเข้ามาเราลองแบบค่อย ๆ คิดไหม ค่อย ๆ คุย ให้มันช้าลงสักนิดนึง แล้วมันเป็นผลดีอะ...

“เบสท์ คำสิงห์”ควง “พ่อสมรักษ์” เปิดชีวิตหลังโสด

เบสท์ คำสิงห์ นางเอกสาวสายลุยและยูทูปเบอร์สุดปัง ที่วันนี้ออกมาเปิดเผยชีวิตโสดนานกว่า 5 เดือน ซึ่งบอกเลยว่านี้คือช่วงเวลาที่โสดนานที่สุดในชีวิตแล้ว เคลียร์ข่าวเม้าท์เหตุโสดเพราะยังเข็ดกับความรักครั้งเก่าหรือเปล่า พร้อมควงคุณพ่อบาส สมรักษ์ คำสิงห์ ย้อนเล่าความหวงลูกสาวขั้นสุดแบบไม่ได้โม้ ในรายการคุยแซ่บShow ทางช่องOne31 ที่มี เบนซ์ พรชิตา และ ตั๊กแตน ชลดา เป็นพิธีกร โสดมา 5 เดือนแล้ว นานไปมั้ย  ? เบสท์ : โสด 5 เดือน...

“นานา ไรบีนา” เปิดเคล็ดลับชีวิตคู่ อยู่ด้วยกัน 13 ปี โต้ไม่ใช่คนในข่าวสามีฮิปฮอปนอกใจ !!

นานา ไรบีนา ที่วันนี้มาเผยมุมทรหดเดินสายเวิลด์ทัวร์กับสามี เวย์ ไทเทเนียม ที่บอกเพียงแค่ว่า ต้องร้องขอชีวิต พร้อมเล่ามุมสวีทครบรอบแต่งงาน 13 ปี ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องOne31 ที่มี หนิง ปณิตา และเป็กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ มีข่าวนักร้องฮิปฮอปซุกเมียน้อย ใช่บ้านคุณนานาไหม? นานา : ตอนนี้รู้สึกว่าสิ่งที่ได้ยินมาทั้งหมด ตกใจเหมือนกัน เพราะว่าความเป็นจริงก็คือ ยังสบายและรักกันดีอยู่ คิดว่ามั่นใจไม่ใช่บ้านเราแน่นอน เพิ่งจบเวิลด์ทัวร์ เรียกว่าเป็นคอนเสิร์ตสุดโหดที่สุดของพี่เวย์เลย? นานา : ใช่ค่ะ รับบทเป็นภรรยานักร้องอยู่ 2 อาทิตย์ รู้สึกว่าคนเป็นนักร้องนี่เหนื่อยนะ ขนาดเราไปช่วย จัดแจง นู้นนี่นั่น เพราะมีศิลปิน น้องกระแต โต้ง ทูพีไปด้วย เราต้องไปดูแลอำนวยความสะดวก เพราะสามีเป็นเฮดในการเอาน้อง ๆ ไปทัวร์ในครั้งนี้ ว่าง่าย ๆ ก็ไปช่วยทำงานแหละ เพราะเราเอาคนหรือทีมงานไปจำนวนเยอะไม่ได้ เราเลยไปช่วยกัน  โห ..เหนื่อย ไปถึงไม่มีเวลาให้เจ็ทแลคเลย ไปถึงทุกคนทำงานเลย แต่นานาโชคดีเหมือนได้ไปพัก แต่ก็เหมือนไม่ได้พักอีก สามีก็พาไปทริปที่ตั้งใจไปที่นี่ มันเป็นที่ที่สวยมาก ตั้งใจจะไปพักผ่อนจริงๆ นางก็จัดซะหนักเลย พี่เวย์ไปทัวร์คอนเสิร์ตครั้งนี้เขาได้ขึ้นบิวบอร์ดที่นิวยอร์กด้วย? นานา : น่าจะมาจากเพลงที่เขาทำล่าสุด ไปฟีเจอร์ริ่งกับศิลปินลาติน อเมริกา เขาก็มีเอเจนซี่เข้ามาดูเรื่องโซเชียลมีเดีย การโปรโมท พีอาร์ประชาสัมพันธ์ ซึ่งนั่นเป็นในส่วนพีอาร์ประชาสัมพันธ์ที่ต่างประเทศ ก็ได้เป็นมิวสิควีดีโอที่ได้ขึ้นไปฉาย เราไปทันรอบกลางคืน รู้สึกยังไงบ้างที่ไปยืนดูคุณสามีขึ้นบิวบอร์ดอยู่ตรงนั้น? นานา : พวกเราตื่นเต้น แต่เขาจะเก็บอาการนิ่ง ๆ คุณนานาต้องอยู่กับคุณสามีที่เนื้อหอม และถูกจับจ้องขนาดนี้ ต้องจิตแข็งขนาดไหน? นานา : เหมือนนานาได้รับการฝึกแบบนี้มา 14-15 ปีแล้ว คือคนเรา เวลาแต่งงานกับใคร หรือเป็นแฟนกับใคร เราต้องเรียนรู้แล้วว่าเขาเป็นอะไร คือ 1.อาชีพเป็นนักร้อง แล้วไทป์แบบนี้สิ่งเร้าจะเยอะมากอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้ว่าเราจะกระโดดไปเล่นกับอะไร เพราะฉะนั้นถ้าเราจะอยู่ให้เป็นสุข หรืออยู่ให้เป็นทุกข์ นานาบอกหนิงเสมอว่ามันอยู่ที่เราเลือก ถ้าเราเลือกสุขคือคิดแบบนี้ ถ้าเราเลือกจะทุกข์มันก็คอยตาม คอยมอง คอยส่อง พอนานารู้แล้วว่าเป็นคนนี้ฉันจะอยู่ไม่ให้เป็นทุกข์ โดยการที่ฝึกแบบนั้นตั้งแต่วันแรกเลยว่าโอเค ฉันจะคิดในสิ่งที่ฉันเห็นเท่านั้น แฟนเราเป็นศิลปิน บางคนเข้ามาแบบแฟนคลับ มันจะต้องมีการถูกเนื้อ ถูกตัว กอดศิลปินที่เขาอยากกอด บางคนไม่ได้คิดอะไร เราจะแบ่งพาร์ทให้เราไม่รู้สึกแย่เรื่องตรงนี้ได้ยังไง?...

“ยิ่งยง”  ควง “ฮาย” เคลียร์ข่าวเม้าธ์ลูกสาว ลั่นรักมากแต่ไม่มีทางได้กัน ขออย่าเป็นเมียน้อยใคร

นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง “ฮาย อาภาพร” เปิดใจครั้งแรกหลังคว้าปริญญาโทในวัย 53 ปี แพลนต่อดอกเตอร์? พร้อมควง “ยิ่งยง ยอดบัวงาม” คู่จิ้นวงการลูกทุ่งในตำนาน เคลียร์ข่าวเตรียมลงสมัครเป็นนักการเมือง และวีรกรรมอะไรที่ทำให้ความสนิท 30 ปีสั่นคลอน พร้อมลูกสาวที่ชาวเน็ตเม้าธ์ “น้องโยโย่” คือลูกของ ฮาย-ยิ่งยง จริงหรือเปล่า? ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่องOne31 ที่มี ชมพู่ ธัณย์สิตา และ ธัญญ่า ธัญญาเรศ เป็นพิธีกรดำเนินรายการ ยิ่งยง : ยินดีกับน้องฮาย เห็นว่าจะต่อดอกเตอร์ใช่มั้ย ฮาย : กำลังดูก่อนว่าจะเรียนมั้ย ยิ่งยง : ดีงาม ไม่แก่เกินเรียน พี่ฮายจบปริญญาโทในวัย 53? ฮาย : เข้า 54 อย่างภาพที่เห็น เมื่อปีที่แล้วรับปริญญาตรีไป จริง ๆ จบมา 5 ปีแล้วค่ะ แต่ติดโควิด ปีที่พี่ยงรับ ปี 63 เรียนอะไรกัน? ยิ่งยง : รัฐประศาสนศาสตร์ เกี่ยวกับการเมือง กฎหมาย การบริหารทรัพยากรมนุษย์ จะเล่นการเมืองกันเหรอ? ฮาย : ตอนนี้ไม่ได้คิดตรงนั้น ยิ่งยง : ตอนนี้ตั้งพรรคไว้แล้ว พรรคนี้ไม่ค่อยเจอกัน (หัวเราะ) ฮาย : (หัวเราะ) การบริหารตรงนี้เราคิดว่าจบมาเราบริหารองค์กรเล็กๆ ของเราก็ได้ บริหารครอบครัว ลูกน้อง บริษัทของเรา แต่เรียนแล้วได้จริงๆ อย่างที่บอกไม่มีใครแก่เกินเรียน รุ่นเราตอนแรกก็คิดว่าเราต้องไปเรียนกับเด็กเหรอ อายเด็กจังเลย แต่พอไปเรียนจริงๆ อายุ 60 ก็มี 40 ก็มี ที่เราไปเรียนเขาเรียกว่ารุ่นเจ้าสัว คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วและไปเรียนต่อ ยิ่งยง : คนมีเงินแล้วไปเรียน ฮาย : หนึ่งเราได้ความรู้แน่นอน สองเราได้คอนเนคชั่นเพื่อนๆ เจ้าของโรงงาน เจ้าของบริษัทน้ำปลาร้าส่งออก เจ้าของยา อะไรต่าง ๆ มีหลายคนที่ไปเรียนแล้วเจอเพื่อนร่วมห้องจีบ พี่ฮายมีมั้ย? ฮาย : แน่นอยู่นะ (หัวเราะ) แต่เราไม่ได้เน้นตรงนั้น ถ้าเน้นตรงนั้นตอนนี้ก็ประมาณ 80 กว่าคน (หัวเราะ) ผ่านผู้ชายเป็นร้อย กองร้อยที่เขายืนเรียงแถว พี่เดินผ่านเป็นร้อย (หัวเราะ)...

“มาย-อาโป” เปิดใจ ฮอตระดับโกลบอล สร้างมูลค่าสื่อให้แบรนด์ระดับโลกกว่า 159.9 ล้าน!

“มาย ภาคภูมิ” และ “อาโป ณัฐวิญญ์” สองนักแสดงสุดฮอต ระดับโกลบอล ที่วันนี้จะมาย้อนเล่าวีรกรรมวัยเด็ก ไม่สนใจการเรียน พร้อมเปิดเส้นทางในวงการบันเทิงนานกว่า 10 ปี จนกลายเป็นนักแสดงแถวหน้า สร้างมูลค่าสื่อให้กับแบรนด์ระดับโลก ได้มากกว่า 159.9 ล้านบาท ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่องOne31 ที่มี เบนซ์ พรชิตา  และ บูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ ซีรีส์ที่เล่นชื่อว่าคินน์พอร์ชเดอะซีรีส์ ดังทั่วโลก กว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ ทั้งคู่ไม่เคยใฝ่ฝันเลยว่าจะเป็นดารา ตอนวัยเด็กอยากเป็นอะไร? มาย : ตอนเด็กอยากเป็นวิศวโยธา ตอนเด็กผมเคยมีญาติ ญาติพาไปเที่ยว เห็นเขาทำฝาย ผมก็มีความใฝ่ฝันอยากทำฝาย ดูเท่ อาโป : ผมโนไอเดียเลย ไม่รู้เลยว่าจะทำอะไร อยากเป็นอะไร พ่อแม่การศึกษาไม่ได้สูง เขาก็แค่อยากให้ลูกเรียนในสิ่งที่คิดว่ามันมั่นคง เป็นหมอหรืออะไรแบบนี้ เราก็รู้ลึก ๆ ว่ามันไม่น่าเหมาะกับเรา มันก็เลยเคว้ง เหมือนอยู่ในครอบครัวที่เขาคาดหวัง เราก็งงอยู่พักใหญ่ ๆ ตอนเด็กเป็นไง ตั้งใจเรียนมั้ย? อาโป : ตอนเด็กผมแสบมาก ไม่ค่อยเอาอะไรเลย ส่วนใหญ่จะเอาแต่กิจกรรม ชอบออกไปเล่นบาส จะเล่นตลอดเวลา ถ้าใครเห็นภาพวัยเด็ก จะเห็นว่าผิวคล้ำเลย ถึงขั้นไม่วางแผนว่าชีวิตจะเรียนต่ออะไร? อาโป : ตอนเข้าธรรมศาสตร์วิศวะได้ อันนั้นคือตามเพื่อน ผมไม่ได้ชอบ โปชอบจินตนาการ ว่าสิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้ อีก 5-10 ปีเรายังทำมันอยู่มั้ย มันก็จินตนาการได้ว่าเฮ้ย เราไม่น่าทำงานที่นั่งอยู่ในออฟฟิศได้แน่นอน ก็เลยตัดสินใจออกซะ เรียนไปปีนึงแล้วออก ตอนนั้นเราสร้างภาพว่าเราคงไม่ทำงานที่เป็นรูทีน ทำงานซ้ำ ๆ วนไปวนมา ออกแล้วไปอยู่ไหน? อาโป : มีช่วงที่ว่างไปปีสองปี ช่วงนั้นใช้ชีวิตสุดเหวี่ยงมาก เพื่อค้นหาชีวิตว่าเราชอบอะไร เราอยากเป็นอะไร ตื่นมาก็ไปวิ่งเล่น ไปเล่นสเก็ตบอร์ด พอตกเย็นก็ไปดื่ม วนๆ อย่างนี้ มาย : สมัยก่อนไม่ชวนบ้าง (หัวเราะ) พูดเล่น ๆ พ่อแม่ช็อกมั้ย?...

“เป้ย ปานวาด” เปิดใจครั้งแรก “ปาลิน” ผ่าตัดครั้งใหญ่ เนื้อที่ในการหายใจเหลือ 5 เปอร์เซ็นต์ 

“เป้ย ปานวาด” นางร้ายสุดแซ่บ ที่วันนี้จะมาเปิดใจครั้งแรก หลังลูกสาว “น้องปาลิน” ผ่าตัดครั้งใหญ่ ใช้เวลาผ่าตัดกว่า 2 ชม. ครึ่ง และเผยโมเมนต์ความประทับใจระหว่าง “พี่โปรด-น้องปาลิน” พร้อมขอเคลียร์ข่าวเม้าธ์ เตรียมทวงบัลลังก์เซ็กซี่สตาร์ ใส่ชุดว่ายน้ำอวดหุ่นแซ่บลงไอจี ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่องOne31 ที่มี เบนซ์ พรชิตา และ ธัญญ่า ธัญญาเรศ เป็นพิธีกรดำเนินรายการ อาการน้องปาลินหลังผ่าตัด? “ตอนนี้อยู่ในช่วงระหว่างพักฟื้นรักษาตัว ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าไปก่อน เพราะช่วงนี้แผลยังปิดไม่สนิท ยังไม่แห้งซะทีเดียว กลัวเชื้อโรคเข้าไปแล้วทำให้ไม่สบายอีกครั้งนึง” น้องผ่าตัดเรื่องอะไร? “ต่อมอะดีนอยและต่อมทอนซิลโตค่ะ โตแบบปิดทางเดินหายใจ เหลือไม่ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ชัดมากตอนคุณหมออกจากห้องผ่าตัดแล้วบอก ตอนเอ็กซเรย์ คุณหมอคาดการณ์ว่าน่าจะประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ที่มีช่องทางเดินหายใจแต่พอผ่าแล้วปรากฎว่าเหลือน้อยมาก ถามว่านี่น้องใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไง” เขามีอาการยังไง? “ปาลินอาการน้อยมาก แค่หายใจแรง เป็นไข้นิดหน่อยเราก็เข้าใจได้ เพราะลูกไปโรงเรียนอาจเจอเชื้อโรคเข้าปาก เป็นหวัด เป็นไข้เล็กน้อยเลยไม่ผิดสังเกตมาก แต่พี่โปรดเป็นเยอะ เป็นไข้ที่ค่อนข้ารุนแรง เหมือนมือเท้าปาก RSV พอหายปุ๊บก็เป็นโรคนี้ต่อ ของพี่โปรดจะจับสังเกตได้ง่ายกว่า แต่ปาลินน้อยมาก” ตอนปาลิน เป้ยสังเกตลูกว่าอะไรผิดปกติ? “มันแปลกตรงที่คนเรานั่งเฉย ๆ ทำไมหายใจแรง ไม่ได้ทำอะไรเลย วาดรูปเฉย ๆ หายใจแรง เราก็คุยกับทุกคน คุยกับคุณพ่อพี่เลี้ยงว่ามันแปลก ๆ เขาก็บอกว่าเราคิดมาก วิตกจริตหรือเปล่า แต่เราบอกว่าไม่เอาต้องพาไปตรวจ พาไปเอ็กซเรย์ ต่อมนี้จะมีบทบาทช่วง 1-10 ขวบ หลังจากนั้นมันจะค่อยๆ ลดบทบาทของมันไป แต่ช่วงพีคๆ คือ 2-6 ซึ่งเด็กต้องไปทำโน่นนี่ ทำกิจกรรม อาจมีเชื้อโรคเข้ามา กลายเป็นว่าต่อมนี้สะสมแล้วปิดกั้นทางเดินหายใจ พอพอปิดกั้นทางเดินหายใจ ก็จะหายใจแรง เวลานอนก็สะดุ้งเฮือก หยุดการหายใจบ้าง พอเป็นแบบนี้จะส่งผลต่อพัฒนาการของลูกและสมอง พอเพาะเชื้อโรคเยอะๆ ก็ทำให้ไม่สบาย เป็นโรคโน้นโรคนี้ง่ายอีก” ตอนกับน้องโปรดเป็นยังไง? “จริง ๆ ยาก เป้ยไม่ได้สตรองเลยเป้ยร้องไห้เยอะมาก ๆ แต่เรามีประสบการตอนพี่โปรดแล้ว เราก็เก็บข้อมูลทั้งหมดเพื่อมาจัดการกับปาลิน ว่าจะเป็นแบบไหน เพื่อให้เป็นไปได้มากที่สุด ตอนโปรด เป้ยคุยเรื่องนี้แทบไม่ได้เลย คุยแล้วมันรู้สึกไม่อยากให้เกิดกับชีวิตเราแล้ว แต่พอเกิดปุ๊บ เราต้องฮีลใจตัวเองให้แข็งแรงเพื่อไปดีลกับปาลินให้แข็งแรง และทำยังไงก็ได้ห้ามให้ลูกเห็นว่ามันเรื่องใหญ่แล้ว ต้องคุยกับพี่โปรดด้วย โปรดเขาก็น่ารักมาก พอบอกว่าน้องเป็นเหมือนพี่โปรดนะ ต้องทำแบบนี้ ๆ กับน้องนะ เขาก็รู้ว่าเป้ยเซนซิทีฟเรื่องนี้ ตอนผ่าตัดเป้ยก็เล่าให้เขาฟัง ว่าเป้ยกอดตุ๊กตาเน่า ๆ ของเขาที่เป้ยไม่ชอบ แล้วเป้ยก็นั่งร้องไห้ มองท้องฟ้า อธิษฐานทุกอย่างว่าความดีที่แม่ทำมาทั้งหมด ขอให้ลูกแข็งแรง และตื่นขึ้นมาอย่างปลอดภัย อันนี้คือสิ่งที่เป้ยกังวล พอเขารู้ว่าเป้ยกังวลปุ๊บ เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร แม่เครียดใช่มั้ย เดี๋ยวโปรดจะอยู่ข้างน้องให้กำลังใจเขาและจะบอกน้องว่าไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่คิด คือเขาก็เข้ามาช่วยเป้ย ซึ่งเขาทำได้ดีมาก ๆ เราก็ไม่กล้าชมลูกออกสื่อ กลัวคนหมั่นไส้ แต่เขาน่ารักมาก ๆ จนเป้ยและคุณป๊อปรู้สึกเซอร์ไพรส์ มันดีจังเลย กับการที่มีพี่ชายมาช่วยตรงความรู้สึกเราด้วย ช่วยให้น้องไม่กังวล สังเกตได้จากคลิป ปาลินไม่มีความกังวลอะไรเลย ก่อนผ่าตัด พี่โปรดตื่นตั้งแต่ตีสี่ อาบน้ำแต่งตัวเอง เพื่อพาน้องเข้าห้องผ่าตัด น้องจะได้ไม่ต้องกังวล”...

“เจี๊ยบ กนกพร” ร่ำไห้ ซึ้งบุญคุณนางฟ้าบนดิน “จินตหรา” โอนเงินช่วยคนแรกในวันไร้งาน ไร้เงิน 

ช็อกถูกรางวัลที่ 1 ญาติโผล่ขอเงินอื้อ แทบไม่ได้นอน กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ทุกคนต่างยินดีไปด้วย หลังจากที่นักร้องชื่อดัง “เจี๊ยบ กนกพร” ออกมาเผยว่าตนเองถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 หลังจากที่ชีวิตเคยผ่านมรสุมทั้งป่วยมะเร็งระยะ 3 ไร้งาน ไร้เงิน ล่าสุดเจี๊ยบ กนกพร ได้เปิดใจถึงเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดกับตัวเอง พร้อมร่ำไห้เผยผ่านรายการ นักร้องชื่อดังคนแรกที่โอนเงินช่วยตอนที่มีปัญหาชีวิต ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่องOne31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ และ เป็กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ วินาทีถูกรางวัลที่ 1? “จริง ๆ แล้วตอนนี้เรารู้แล้วว่าเราถูก เราตั้งใจทำคลิปเฉยๆ แต่ก่อนหน้านั้นมันจึ้ง มันมีอารมณ์เดียวกันกับคุณหมอบอกว่าคุณเป็นมะเร็งเต้านมระยะ 3 นะ เราคิดว่าไม่ใช่ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะลอตเตอรี่ที่ถูกอยู่ในกระเป๋าแล้วลืมไปแล้ว แต่ที่ไปขึ้นรางวัลคือรางวัลเลขท้าย 3 ตัว 742 พอไปขึ้นรางวัล พี่ที่ขึ้นรางวัลบอกว่าให้เอาเศษตังค์ไปให้เขา แล้วเขาจะให้เต็มจำนวน 4 พัน เราก็หยิบกระเป๋าตังค์มารูปซิป ก็อ้าว มีลอตเตอรี่อีกใบยังไม่ได้ตรวจ แต่พี่เขายืนอยู่มันระดับสายตาเขา พี่ยังไม่ได้เอาออกมาเลยนะ เขาก็บอกว่าเฮ้ย ถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 นะ เราก็บ้า! ในชีวิตเราเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราเหงื่อไม่ออก เราไม่ได้ตังค์ เราต้องทำงาน เขาบอกว่าถ้าไม่เชื่อเอามาจะตรวจ เขาก็เอาไปสแกนปุ๊บมันก็ขึ้นสีเหลืองว่าถูกรางวัลที่ 1 เราก็ไม่จริง ไม่ใช่ เขาสแกนสามครั้งบอกว่าเห็นมั้ยไม่ได้โกหก เราก็บอกว่าโกหกเรา ขี้ตั้ว คิดว่าหยอก ทีนี้ภรรยากับลูกสาวเขามา เขาก็สแกนให้ภรรยากับลูกสาว เขาก็บอกว่าถูกจริง ๆ นะ เราก็ถามว่าไม่ได้โกหกใช่มั้ย ไม่เชื่อ ไม่จริง ไม่ใช่ เป็นไปไม่ได้ ทุกคนก็บอกว่าให้ใจเย็น ถูกแค่นี้สำหรับพี่ พี่ว่าโอเค ถ้าถูกมากกว่านี้พี่ว่าพี่ตายตรงนั้นแหละ ไม่ได้ใช้เงินแน่” พี่จำไม่ได้ว่าซื้อที่ไหน? “ทีแรกก็คิดว่าซื้อที่ไหน แต่มาจำได้ว่าเราซื้อที่บิ๊กซี เราไปซื้อของ เราเจอคุณยาย หลังงอม ใส่เสื้อสีเขียว ใส่หมวก แต่งตัวนุ่งผ้าถุง เสื้อผ้ามันมอมแมม เราสะท้อนถึงแม้ของเรา ถ้าเราเป็นลูกหลานจะไม่ให้แม่เรามาใช้ชีวิตแบบนี้ ก็บอกว่ายาย หาอะไร เขาก็บอกว่าอยากกินขนมปี๊บไส้ทุเรียน ก็ให้น้อง ๆ พนักงานไปหาให้แกหน่อย ถามว่าอยากได้อะไรอีก แกก็บอกว่าอยากได้เบียร์เด้อ อยากได้ของใช้นั่นแหละ” “แกก็เดินมานั่งข้าง ๆ แคชเชียร์ ก็บอกว่ายาย หนูซื้อให้นะ ยายไม่ต้องจ่ายตังค์ เก็บเงินไว้เลย เดี๋ยวหาย แกก็บอกว่าขอบคุณนะลูก ขอให้หนูโชคดีดวงดี อย่าลืมนะ 82 เราก็ไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้ใส่ใจมาก เพราะเลขที่เราซื้อก่อนหน้านั้นเราซื้อไปแล้ว 8 ใบ เลขท้าย 3 ตัว พอยายบอก 82 ประตูบิ๊กซีจะมีแผงลอตเตอรี่ เราก็ถามว่าแม่ค้ามี 82 มั้ย เขาบอกเหลืออยู่ใบเดียว ซึ่งก็คือใบนี้ ยายเป็นคนบอกเลข ก่อนหน้าถูกหวย เจี๊ยบฝันถึงพญางูตัวเท่าบ้านสีขาว ตัวใหญ่มาก แล้วอีกวันก็ฝันว่าตัวเองอึ แล้วเก็บอึตัวเองใส่ผ้าขาวกอดไว้ แล้วก็มาเจอคุณยายนี่แหละ” หลังถูกรางวัลที่ 1 ได้เจอคุณยายอีกมั้ย? “เจอค่ะ ก็ไปตามหาคุณยาย คุณยายก็บอกว่าจำได้ บอกหวยอยู่นี่ ก็สมนาคุณท่านไป” ร่ำรวยถูกหวย จากเจี๊ยบ กนกพร ก็กลายเป็นยุ้ย ญาติเยอะ? “(หัวเราะ) ไม่ได้นอนเลย เราก็เฮ้ย ได้ยินแต่เขาพูดกันเว้ย นี่จริง ๆ เหรอ บางคนวันนี้เราถูกหวย พรุ่งนี้เช้าก็โทรอยู่นั่นแหละ เรายังไม่ได้ขึ้นเงินเลย แล้วใบที่ถูกจะได้ตังค์จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ กลางคืนไม่กล้านอน กลัวหลับตื่นมาแล้วเป็นแค่ความฝัน” คนโทรมาคือญาติแท้ ๆ มั้ย?...

“ม้า อรนภา” น้ำตาไหล เผย 2 คนในวงการที่เคยค้างคาใจ ไม่คิดว่าจะได้กลับมาเจอกันในงานศพ“คุณแม่”

เปิดใจที่แรก “ม้า อรนภา กฤษฎี” หลังสูญเสีย “คุณแม่ประมวล” วัย 98 ปีไปอย่างไม่มีวันกลับ ด้วยโรคมะเร็งปอด พร้อมรับมือการสูญเสียล่วงหน้าก่อน 1 วัน พร้อมคำพูดสุดท้ายที่คุณแม่พูดไว้ก่อนตาย อีกทั้งประเด็นสำคัญ บุคคลในวงการ  2 ราย ที่ทำให้ม้า อรนภา ซาบซึ้งใจจนน้ำตาแตกกลางงานศพ วันนี้เจ้าตัวพร้อมตอบทุกเรื่อง ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่องOne31 ที่มี ซินแสเป็นหนึ่ง และ เป็กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ สูญเสียคุณแม่ ผ่านมาไม่กี่วันเอง? ม้า : เพิ่งลอยอังคารไปเมื่อวานนี้ ก็สด ๆ ร้อน ๆ ค่ะ ถ้าถามความรู้สึกตอนนี้ รู้สึกสบายใจ เพราะทุกอย่างเสร็จสิ้นหมดแล้ว แต่ทางจิตใจ ดิฉันเตรียมใจมาตลอด ตั้งแต่คุณแม่อายุ 90 ก็เริ่มโอ้โห แม่อยู่นานจัง พออยู่ไปเรื่อย ๆ เราก็เตรียมใจอยู่ตลอดเวลา แต่แม่ยังดูแข็งแรงเหลือเกิน สามารถเดินขึ้นบ้านสามชั้นเช้าเย็นได้ เป็นอย่างนี้ประจำทุกวัน ไม่ยอมย้ายมาอยู่ข้างล่าง เราก็โอเค ถ้าแม่ยังแข็งแรงก็เป็นบุญหัวเรา ที่ได้ดูแลไปได้เรื่อย ๆ ถ้าจิตใจว่ายังไง มันก็เตรียมพร้อมมาตลอดเวลาอยู่แล้ว ทำใจได้มานานแล้ว ไปลอยอังคารที่ไหน? ม้า : ที่เดียวกับคุณตาคุณยาย ตรงเวิ้งคุ้มน้ำกว้างๆ ตรงปากเกร็ด ตอนนั้นเอากระดูกคุณตา คุณยาย คุณป้า พี่ของแม่ทั้งหลาย ออกมาจากวัดหลวงทั้งหมดเพื่อไปลอยที่นี่ แม่ก็ไปด้วย แม่บอกว่าถ้าถึงเวลาแม่เป็นอะไรไป ก็ให้เอามาลอยที่นี่ แม่ดิฉันปักหมุดทุกเรื่อง เตรียมพร้อมสุด ๆ เลย ทุกเรื่องราว ทำทุกอย่างตามที่แกบอก เช้ามาทุกอย่างไม่เหมือนเดิม มีแว๊บมั้ย? ม้า : ถ้าถามวันนี้ ซึ่งเป็นวันแรกที่ได้ผ่านมา ก็รู้สึกเฉย ๆ นิ่ง ๆ สบาย ๆ เพราะทุกอย่างที่ผ่านมาตั้งแต่ก่อน จนวันงาน เราดูแลทุกอย่างให้อย่างสมบูรณ์แบบทุกเรื่องราว ดูแลอย่างดี ทุกอย่างเรียบร้อย เพียงแต่รู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยมากเหมือนกัน เหนื่อยจนอยากพักเลย วันที่จัดงานมีพิธี ณ ตอนนั้นคุณแม่อายุยืนที่สุดในกลุ่มเครือญาติ วันงานพี่ม้ารู้สึกว่าญาติเราคนน้อยเหมือนกัน เพราะไปกันหมดแล้ว?...

“น้อย โพธิ์งาม” ขอโทษลูกสาว  “หญิง รฐา” ทำร้านส้มตำขาดทุน 2 ล้าน

หญิง รฐา ควงสามี ตุลย์ ตุลยเทพ พร้อมคุณแม่สุดที่รัก น้อย โพธิ์งาม มาเปิดชีวิตครอบครัวที่ไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องวัน 31 ที่มี พีเค ปิยะวัฒน์ และบูม สุภาพร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ ออกรายการพร้อมกัน 3 คนครั้งแรก? หญิง : ใช่ไม่เคยออกรายการมีพี่ตุลย์ แม่ หญิง เลย แต่งมา 2 ปี เรือนหอเสร็จแล้ว? หญิง : ยังไม่ 100% ตุลย์ : ยังไม่ได้ตกแต่ง สาเหตุที่ไม่ย้ายไปอยู่เรือนหอ เพราะยังไม่เสร็จหรือติดแม่? หญิง : รวม ๆ แต่ก่อนบ้านพี่ตุลย์จะอยู่กับคุณพ่อ พี่สาว พอคุณพ่อเสีย พี่สาวอยู่บ้านคนเดียว เราไม่อยากให้พี่สาวอยู่บ้านคนเดียว เลยให้พี่ตุลย์กลับไปอยู่บ้านตัวเองด้วย ส่วนคุณแม่ เราอยู่ตอดบ้าน เป็นคนชอบอยู่บ้านตัวเอง ก็เลยเป็นลักษณะ 3 วันอยู่บ้านพี่ตุลย์ อีก 4 วันมาอยู่บ้าน แต่ก็มีซื้อคอนโดเอาไว้ แต่ยังไม่ได้ตกแต่ง ลูกสาวติดคุณแม่ ได้ยินแบบนี้อิ่มเอิบไหม? แม่น้อย : ไม่ต้องได้ยินหรอก การกระทำมันห่างแม่ไม่ได้ ยังบอกเธอมีสามีแล้วนะ เธอยังให้ฉันเกาหลังอยู่ เขาเกาไม่เหมือนแม่เกา เอ้า...จะมีผัวทำไม มันก็มาอ้อนเรื่อย ๆ ตกลงลูกสาวติดแม่ หรือแม่ติดลูกสาว? แม่น้อย : ก็ทั้งคู่ เหมือนกันเลย แม่ก็ไม่มีใคร มีหญิงคนเดียว แล้วมามีลูกชายนี่แหละ จะไม่ให้รักมากได้ยังไง หญิง : มีหญิงคนเดียว หญิงไม่ใช่ลูกนะ แล้วมีลูกชาย เห็นว่าคนรักลูกชายคนนี้ แม่เคยหนีพี่ตุลย์มาก่อน? แม่น้อย : ไม่ใช่หนีพี่ตุลย์ คือมันมีเรื่องที่รู้ ๆ กันอยู่ คือเราจะรู้ไหมว่าลูกเราไปคบกับใคร ก็มันไม่เคยมีเหตุการณ์อย่างนี้ เราก็เลยงอนลูก ขับรถหนีลูกไปเลย รู้ว่าพี่ตุลย์จะมาขับรถหนีลูกไปเลย ไม่รู้ฉันยังไม่พอใจ เพราะข่าวออกมาอย่างนั้น แล้วลูกเรา เราก็คิดมาก พอตุลย์มาพูดเท่านั้นสยบทุกอย่างเลย แม่น้อยหวงลูกสาว ตอนนั้นรู้อยู่แล้วไหม? ตุลย์ : รู้ครับ แต่ไม่ได้กังวลอะไรมาก ถ้าเรามีความตั้งใจดี การกระทำดี ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลอะไร เราไม่ได้เข้ามาเพื่อมาหลอกลูกสาวเขา คุยกับหญิงเหมือนกันว่าจะทำยังไงให้พิชิตใจคุณแม่ได้ แค่เราเป็นตัวของเราเอง แล้วทำอย่างที่เราทำให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเราคบกันจริง เราตั้งใจจริง แล้วเราไม่ได้ทำให้หญิงเสียใจ สักวันคุณแม่จะเข้าใจ...

เปิดใจที่แรก! “นุ่น รมิดา” เผยวินาทีสูญเสียคุณพ่อ  พร้อมความตั้งใจอยากท้อง

หลังจากที่เมื่อกลางเดือนที่แล้ว ต้องสูญเสียคุณพ่ออย่างกะทันหัน หลังจากที่ได้เข้ารับการผ่าตัด โดย “นุ่น รมิดา” ได้เปิดเผยความรู้สึกพร้อมน้ำตาผ่านรายการ คุยแซ่บShow ทางช่องOne 31 กับการสูญเสียแบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งได้เผยสาเหตุของการที่คุณพ่อจากไป รวมไปถึงเรื่องราวต่าง ๆ จนทำให้ตัวเองเสียศูนย์ไปมาก พร้อมกับเรื่องไม่น่าเชื่อกับการคุณพ่อมาหาหลังเสียไป และคำสั่งสุดท้ายที่อยากให้ลูกสาวคนนี้ท้องไว ๆ ตอนนี้สภาพจิตใจเป็นยังไงบ้าง หลังที่สูญเสียคุณพ่อ? “สภาพจิตใจตอนนี้มันโอเคไหม มันก็โอเค แต่เหมือนว่าตื่นนอมาทุกเช้าเหมือนคนเสียศูนย์ เพราะปกติพ่อจะโทรมาหาทุกเช้า เหมือนพอวันที่ไม่มี มันจะมีอารมณ์ที่แฝงไว้ว่าเราจะมีอะไรทำ หันไปมองโทรศัพท์มันก็จะคิดถึง บางวันมันก็มีความสุข บางวันมันก็หวนกลับไปคิดถึงคุณพ่อ เสียไปเมื่อกลางเดือน กค. เพราะจากไปแบบไม่ทันตั้งตัว และตัวคุณพ่อเองก็ไม่คิดว่าเขาจะไปเลยเหมือนกัน และย้อนกลับไปคุณพ่อเขามีอาการคือเหนื่อย เขาเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการเพลีย เขานึกว่าเขาเป็นกรดไหลย้อน คิดว่าปวดท้องเฉยๆ แต่ไม่บอกลูก คือเขาก็เคยโทรมาเล่าปกติว่าเมื่อคืนนอนเหงื่อแตก แต่ตอนนี้โอเคแล้ว ซึ่งเขาโทรมาจากชัยภูมิ เราอยู่กรุงเทพฯ พอวันที่เกิดเรื่อง เขาเข้าโรงพยาบาล หมอเฉพาะทางเขาก็แจ้งเส้นเลือดใหญ่ โป่งพอง ระดับท้องไปถึงหน้าอก ไม่ได้เป็นกระเพาะอาหารตามที่คุณพ่อคิด แต่ด้วยความที่คุณพ่อไม่มีปัญหาเรื่องความดัน พอวินิจฉัยโรคนี้แล้ว ต้องผ่าตัดด้วยการใส่ขอดลวดเข้าไป ซึ่งถ้าไม่ผ่าก็เหมือนระเบิดเวลา ถ้าความดันมันขึ้น มันก็อาจจะแตกได้ คล้ายๆ สโต๊ก และเขาอยู่โรงพยาบาล 18 วัน ซึ่งไม่มีอาการเลย และวันที่เขาผ่าตัด เขาก็ตื่นเต้น แต่คุณหมอก็คุยกับเราและคุณพ่อตลอด คุณพ่อก็บอกว่าทำยังไงก็ได้ให้ผมปลอดภัย เราก็ให้กำลังใจวางยาก็หายแล้ว วันนั้นผ่าตัดไป 8 ชม. พอผ่าตัดเสร็จเราก็เห็นเขาออกมาจากห้องผ่าตัดผ่าตัดไปด้วยดี 90% แต่อีก 10% อาจจะเกิดการเป็นอัมพาธ เลือดอาจจะไม่ไปเลี้ยง แต่หมอคิดว่าน่าจะผ่านไปได้ และที่กล้ามเนื้อหัวใจเลือดอาจจะไม่ไปเลี้ยง แต่พอหมอเทียบขนาดนี้ เราก็ใจชื้นขึ้นมา วันแรกของการฟื้นของคุณพ่อ เราก็ไปเยี่ยม เขาก็สื่อสารด้วยมือ แต่ด้วยความอายุ 70 กับการผ่าตัดที่ยาวนาน แต่วันที่สอง คุณหมออยากจะฟอกไตให้พ่อ เพราะเหมือนร่างกายมันหายไปนาน ไตทำงานได้ช้า พ่อไม่ยอมฉี่ พ่อก็ตัดสินใจเอง ฟอกไตครั้งแรกก็ปกติ แต่เช้าวันที่ 3 คุณหมอก็ขอฟอกอีกรอบ แต่ตอน 10 โมง พี่สาวโทรมาบอกว่าพ่อไม่หายใจ  เราคิดอะไรไม่ออกเลย จับมือหลุยส์รีบขึ้นไปหาพ่อเลย อยู่หน้าห้องไอซียู คุณหมอปั้มหัวใจ ก็บอกคุณหมอว่าทำให้เต็มที่ คุณหมอก็เดินมาบอกว่าไม่น่าจะไหว เขาให้เราเข้าไปคุยกับพ่อ ตอนนั้นพ่อหลับตาแล้วแต่ชีพจรยังอยู่ ด้วยความที่เราเป็นลูกสาว 2 คน เราไม่เคยทำงานศพ เพราะตอนแม่เสีย พ่อก็ดำเนินการทุกอย่าง เราก็ขอฝากพ่อไว้ก่อน ขอกลับไปทำใจและตั้งสติก่อน แต่โชคดีได้ญาติฝั่งพ่อฝั่งแม่เป็นคนช่วยเคลียร์”  กำลังใจที่ดีคือสามีอยู่ข้าง ๆ ตลอด? “นุ่นว่ามันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เป็นใคร ใครก็ช็อคไม่ว่าจะเกิดกับใคร ในวันที่พ่อจากไป เราทำอะไรไม่ถูก ซึ่งมันต่างจากวันที่แม่จากไป เพราะแม่จากไปโดยไม่ต้องทรมาน แต่พอพ่อจากไป เราไม่รู้จะทำไงต่อ เพราะแค่ปวดท้องไม่มีใครคิดว่าจะผ่าตัดแล้วไป และหลังจากเผาคุณพ่อเสร็จ เราก็กลับมาคอนเสิร์ตแกรมมี่อาร์เอส แต่พอคอนเสิร์ตจบก็จะเศร้าๆ และหลุยส์เขาก็รู้ว่าเราเป็นคนแบบไหน จะไม่ได้พูดว่าสู้ ๆ นะ เขารู้ว่านุ่นแข็ง อยู่ได้ เขารู้ว่าเราค่อนข้างหนักในการเจอสถานการณ์แบบนี้” ในวันที่เราเป็นลูก และไม่มีคุณพ่อคุณแม่อยู่แล้ว? “กลัวการสูญเสีย กลัวว่าที่ต้องเหลือเราอยู่คนเดียว แล้วใครจะอยู่กับฉัน เพราะในวันที่อยู่ เราก็ดูแลเขา มันเหนื่อยกับการที่สูญเสีย ทุกการสูญเสียมันเป็นแผลหมด ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าจะสื่อสารความรู้สึกนี้ออกมายังไง มันมีความรู้สึกหลายสิ่งในหัว มันกลั่นกรองไม่ได้ เพราะย้อนกลับไปตอนสูญเสียคุณแม่ ทุกคนมีแผลหมดเลย เราแค่เลือกที่จะอยู่กับมันยังไงคนที่หนักสุดคือคุณพ่อเพราะเขาคือคู่ชีวิต เขาอยู่อย่างทรมานในเรื่องของจิตใจ กลัวเขาเป็นซึมเศร้า แต่เขาก็พยายามอยู่เพื่อเรา เขารู้สึกทรมาน เขารู้สึกว่าเขาตัวคนเดียว” แล้วคุณพ่อมาหาบ้างไหม? “ไม่มีเลย แต่นุ่นเชื่อเรื่องนึง ว่าเมื่อก่อนไม่เชื่อว่าเวลามีคนเสียแล้วคน ๆ นั้นจะมาหา แต่รู้สึกว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าเพราะแม่ก็ไม่เคยมี เราไม่เคยสัมผัสได้เลยกับเรื่องพวกนี้ แต่วันที่จัดการงานคุณพ่อเสร็จ และเรากำลังจะกลับกรุงเทพฯ ห้องนอนของคุณพ่ออยู่หน้าบ้าน วันนั้นไม่มีใครเปิดทีวีในห้องคุณพ่อเลย แต่อยู่เฉย ๆ เราก็เช็คของว่าเราลืมอะไรไหม แต่กำลังหันหลังกลับ ได้ยินเสียงโทรทัศน์เปิด ตอนแรกคิดว่าหลานเปิด พี่สาวก็ถามน้องนัทว่าเปิดทีวีเหรอน้องนัทก็บอกว่าไม่ได้เปิดทีวีเลยสักเครื่อง ขนาดแม่บ้านอยู่หลังบ้านก็วิ่งหน้าตื่นมา ถามว่าใครเรียกหนูเหรอ เราก็ถามว่าเสียงที่เรียก เรียกยังไง เรียกว่า อีนาง ซึ่งมีพ่อคนเดียวที่เรียก เป็นเรื่องเดียวที่รู้สึกว่าจริง และกล้องวงจรปิดที่บ้าน เราก็พยายามกดมันลง ไม่ให้แมลงมาบินบัง แต่กล้องมันก็จะตื่นตอนตี 1 เหมือนว่ามีอะไรเคลื่อนไหว แต่พอไปดูมันก็ไม่เห็นอะไร ที่เราอยากดูเพราะความคิด มันก็กลัวนะ เราเลยอยากผ่านความกลัว รู้ว่ามีอยู่จริง แต่ก็ไม่เคยเห็น” เวลาคิดถึงเราแพ้อะไร ที่ทำให้คิดถึงคุณพ่อ ? “จริง ๆ คือพ่อเขาได้ไปอยู่กับแม่แล้ว อย่างของนุ่นคือสิ่งที่หายไปคือการพูดคุยกับเขาทุกวัน เขาเป็นคนคุยสนุก แต่ในเรื่องที่เขาอยากให้เราทำคือการมีน้อง แต่เรื่องท้องมันไม่ใช่เรื่องง่ายนะ แต่เราก็ส่งเขาไปดีที่สุดเท่าที่ลูกคนนึงจะทำได้แม้ในหลายๆ เรื่อง ที่พ่อแม่หวัง เราอาจจะทำให้ไม่ได้ แต่เอาเรื่องอื่นมาทดแทนในสิ่งที่เราทำได้ เราก็เต็มที่ไปแล้วเราไม่รู้ว่าเราจะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้แล้ว แต่มันความเป็นลูกคนเล็กที่ได้รับแต่ความรัก แต่พอวันนึงไม่เหลือ เราไม่รู้จะอยู่ยังไงต่อ นุ่นไม่ได้กลัวความตาย แต่แค่รู้สึกว่าเราเหนื่อยกับการที่ต้องอยู่ ที่ต้องคาดเดาความเจ็บป่วยของคนอื่นมากกว่าตัวเราป่วย และวันที่พ่อแม่เสีย เราอยากตัดวงจรความเจ็บปวด ไม่อยากมีลูก ไม่อยากให้ลูกต้องมาเจ็บปวดเหมือนเรา แต่อีกมุมนึงถ้าพ่อไม่มีเรา ไม่มีพี่สาวใครจะมาดูแล หันมาจะบอกใครได้ ซึ่งมันก็ต้องมีใช่ไหม” ตอนนี้ตั้งใจมีลูกไปถึงไหนแล้ว? “คือทุกคนลุ้นเราเยอะนะ เราแต่งงานช้า กว่าจะวางแผนอีก มันเป็นเรื่องปกติที่เราอยากมีลูกในภาวะเรื่องนี้ แต่นุ่นไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรถ้าจะต้องมานั่งจิ้มพุงเพื่อกระตุ้นฮอร์โมน มันทนได้ และที่ผ่านมามีคนถามเยอะ แต่พอมันผ่านเรื่องคุณพ่อมา พอมีคนมาถาม มันยิ่งกดดัน เราจะหลุดง่ายมาก เพราะคิดว่ามันง่ายมากเลยเหรอ กับการมีลูก ตอนนี้เราไม่รับละครแล้ว เรามากินอาหารคลีน ไปเรียนกับนักโภชนาการ อยากกระตุ้นฮอร์โมน สิ่งที่ได้จากกินคลีน รูปร่างมันเปลี่ยน แต่เราก็ทำการบ้านตลอด ทำตั้งแต่ยังไม่แต่งเลย”...