“ต่อ ธนภพ” ย้อนเล่าเคยถอดใจงดรับละครนาน 5 ปี เหตุคิดว่าไม่ใช่ที่ของตัวเอง ! 

อีกหนึ่งนักแสดงคุณภาพ ต่อ ธนภพ ที่วันนี้ออกมาเผยจุดเริ่มต้นการเข้าสู่วงการบันเทิงจากนักแสดงวัยรุ่นสู่พระเอกแถวหน้าของเมืองไทย เคยถอดใจไม่รับงานละครนาน 5 ปี เพราะคิดว่าไม่ใช่ที่ของตัวเอง เผยทำงานหนักเพราะอยากให้พ่อแม่เกษียณ ทดแทนช่วงเกเรตอนวัยรุ่น ทุกประเด็นในรายการคุยแซ่บShow ทางช่องOne31 ที่มี ดีเจพุฒ พุฒิชัย และ เอส กันตพงศ์ เป็นพิธีกร

การุณยฆาตกระแสดีมากรู้สึกยังไงบ้าง ?

ต่อ : ดีใจครับ ถือว่าปีนี้ดีมาก ตั้งแต่หนึ่งในร้อยเลย ตั้งแต่เปิดมายันการุณยฆาต ปีที่แล้วรู้สึกว่าโชคดีจังเลยที่เราได้โปรเจ็คที่เราอยากทำมันก็ฉีกทั้งคู่มันห่างกันมากด้วยตัวคาแร็คเตอร์แนวเรื่องจังหวะที่มันออกมาปีนี้ผมรู้สึกขอบคุณคนดูมากๆที่คุณซื้อมันทั้งหมด ตอนแรกผมคิดว่าการุณยฆาตจะเว้นจาหนึ่งในร้อยอีกหน่อย แต่คนดูก็ยังติดตามก็ต้องขอบคุณมาก 

ผลงานปังทุกเรื่องเลยรู้สึกยังไงบ้าง ?

ต่อ : ดีครับ ผมก็เขินๆเพราะว่าส่วนใหญ่ผมรู้ตัวว่าผมเป็นคนที่งานออกมาไม่ได้ถี่เท่ากับพี่ๆคนอื่น ผมอาจจะเป็นคนทำงานช้า ผมชอบรู้สึกว่าทีมไหนที่ได้เราไปหรือเราตัดสินใจว่าเราจะทำงานจากทีมไหนเราอยากให้เขาได้ร่างร้อยเปอร์เซ็นต์ของเราไปแล้วเราก็อาจจะไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์ผมมีพรแสวงในการไปถึงเป้าทุกๆบท ถ้าผมมีพรสวรรค์ผมคงรับที 4-5 เรื่องแล้วมันก็คงออกมาดีสุดๆทุกเรื่อง แต่มันก็ไม่ใช่แบบนั้นทุกครั้ง 

ตอนนี้เข้าวงการมาทั้งหมดกี่ปี ?

ต่อ : ปีที่ 11 แล้วครับ

เริ่มต้นยังไงกับวงการบันเทิง ?

ต่อ : ผมน่าจะเริ่มจริงๆที่เกี่ยวข้องกับคำว่าบันเทิงน่าจะตอนอายุประมาณ 18 ปลายๆ เกือบ 19 มีโอกาสเข้ามาเป็นนายแบบก่อน ผมจะเดินงานที่ทุกคนน่าจะรู้จักก็คืองาน Bangkok international week หรือ BIFW แล้วก็จะมีงาน Elle Fashion Week ได้ลองหลายอย่างมาก ได้ไปแคสต์โฆษณา ได้ไปลองเป็นดีเจ พิธีกรก็เคยไปลองช่วยพี่ย้งใน 789 Survival มา ผมเป็นคนชอบลอง MV ก็เล่น โฆษณาก็เล่นบ้าง จน MV เปลี่ยนชีวิต เพลงของพี่ดา เอ็นโดรฟิน เพลงถึงเวลาฟัง ซึ่งทีมที่ทำนี้ก็น่าจะเป็น 1 ในทีมที่ทำซีรีส์ Change อยู่ทุกวันนี้ 

อันนี้เป็นจุดกำเนิดให้มาเป็นนักแสดงของนาดาวหรือเปล่า ?

ต่อ : ไม่ใช่ว่าการเล่น MV นี้ทำให้ผมได้เข้านาดาว MV นี้ดันทำให้พี่ย้ง ทรงยศ เจอผมผ่าน MV ไม่ได้เจอตัวจริง ซึ่งซีนที่เขาเคยพูดกับผมว่าเขาชอบคือโดนตบหน้าแล้วหน้ามันสโลว์ หน้ามเป็นคลื่น แล้วหน้าเบี้ยวๆ เขาบอกเขาชอบสิ่งนี้มาก เขาอยากเจอคนนี้ แปลกมากๆ 

ผลงานเรื่องแรกที่ร่วมกับนาดาวคือ ?

ต่อ : ฮอร์โมนวัยว้าวุ่น ซึ่งจริงๆมันๆไม่ใช่การแสดงเรื่องแรกของผมด้วยนะ ผมเคยมีซีรีส์ก่อนหน้า ซึ่งลูกพี่ผมก่อนหน้านี้คือพี่ฉอด จริงๆผมอยู่ในคลับฟรายเดย์ เดอะ ซีรีส์ ซีซั่นแรกเลย ผมอยู่ตอนที่เป็น 3 คู่ โลกกลมมากตอนนั้นมีทั้งพี่มาร์ช มีทั้งเก้า สุภัสสรา ด้วย มันเป้นตอนที่เป็นเด็กวัยรุ่น ลุคแรกที่ผมรู้จักกับทุกๆคนคือเป็นสกินเฮดแล้ว แต่ตอนเล่นคลับฟรายเดย์คือยังมีผมอยู่

ค่อยๆเริ่มที่จะปรับบทบาทในการรับละครไปเรื่อยๆ ตอนนั้นเป็น Side by Side ใช่มั้ย ?

ต่อ : อันนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนที่ชัดๆเลยก็จะเป็น Side by Side 

ตอนนั้นทำการบ้านกับบทพี่ยิมใน Side by Side ยังไง ?

ต่อ : หยุดรับงานไปเลย พยายามอยู่กับคาแร็คเตอร์นี้ทำให้มันดีที่สุด ทิ้งคำว่าพระเอกในนามปธรรมที่คนอื่นเข้าใจ ผมขว้างทิ้งเลย บังเอิญระหว่างรีเสิร์ชบทนี้ผมไปเจอจุดที่คอนเนคกับเด็กออทิสติกมากๆ อาจจะเริ่มต้นจากความสงสารแต่สุดท้ายมันกลายเป็นความสวยงามที่เราเห็นว่าทำไมคนอย่างเราไม่เคยสัมผัสเขามาก่อนเราถึงไม่เห็น จนมันเป็นแรงผลักดัน ถ้าซีรีส์เรื่องนี้มันจะช่วยตะโกนออกไปว่าคนเหล่านี้เขาน่าจะอยู่ในสังคมเดียวกันกับเราได้ ถ้าเราเข้าใจเขามากขึ้น แล้วจุดเปลี่ยนเลยคืองานแสดงครั้งแรกที่ผมแสดงจากความเชื่อว่าผมอยากให้ ไม่ใช่เพื่อตัวเอง ผมอยากทำให้คนเข้าใจ 

วิธีการทำการบ้านของต่อก็คือ เอาตัวเองไปรีเสิร์ชแล้วก็เอาตัวเองไปเจอเด็กที่เป็นออทิสติกจริงๆด้วย ?

ต่อ : ใช่ครับ เจอตั้งแต่พี่ๆน้องๆที่เป็นออทิสติกจริง พยายามเข้าไปพูดคุยกับพ่อแม่เขา ไปอยู่กับคุณครูที่ดูแลเขา ไปอยู่กับพยาบาลหรือหมอที่คอยอัพเดทอาการเขาในแต่ละช่วงวัน 

ทำไมถึงต้องเอาตัวเองไปรีเสิร์ชไปอยู่กับเด็กที่เป็นออทิสติก ทำไมต้องทำขนาดนั้น ผู้กำกับบอกหรือว่าเราไปของเราเอง ?

ต่อ : ด้วยการปลูกฝังของค่ายผมก่อน นาดาว บางกอก ถึงค่ายจะปิดไปแล้วก็ตาม แต่ผมยังรู้สึกเสมอว่าถ้าไม่มีบ้านหลังนี้ ผมจะไม่ได้เติบโตมาเป็นนักแสดงแบบนี้ หรือแม้กระทั่งครูบิว เขาเป็นเหมือนแม่ที่คลอดผมออกมาทางการแสดงและเป็นพื้นฐานทั้งหมดก่อนที่ผมจะออกไปเรียนรู้กับครูที่เป็นโปรเฟสชั่นนอลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นครูเงาะ ครูแอ๋ว ผมอาจจะพูดไม่หมดเพราะผมเรียนกับครูเยอะมาก ผมยังขอบคุณทุกคนแต่คนที่เปิดประตูให้ผมยังไงก็คือครูบิวที่เป็นเจ้าของการแสดง Act-Things มันอยู่ที่ผมโตมาด้วย สุดท้ายสิ่งที่ผมเป็นคือไม่มีใครสั่งผม แต่ที่ผมทำหนักขนาดนี้ผมรู้สึกว่าทุกอาชีพควรจะมีมุมผลิตของคุณที่ชาวบ้านไม่ต้องรู้หรอก แต่คุณต้องพิถีพิถัน มันเหมือนเราสร้างสินค้าคือผมก็หนึ่งในผู้ประกอบการที่เรารักคุณแล้วกัน

เมื่อก่อนรับบทเป็นนักเรียน นักศึกษาแล้ว เดี๋ยวนี้มีผู้วางแผนให้เปลี่ยนบทบาทจะไม่ใช่บทนักเรียน นักศึกษาแล้ว ?

ต่อ : ตอนนั้นก่อนที่จะมี Side by Side มันจะมีจุดที่ผมเริ่มโคลงเคลงในแง่ความเชื่อของคนข้างนอกว่าเราไม่ถูกเชื่อในชุดนักเรียนและเราไม่ถูกยอมรับในชุดทำงาน คนที่มันมีแพชชั่นกับนักแสดงแล้วมันไม่ถูกเชื่อมันอึดอัดมาก มันจะรู้สึกว่าเราเข้าใจเขา เราอยู่ในระยะที่เขาไม่สามารถเห็นเราเป็นนักเรียนได้แล้ว แต่จะให้ไปทำงานก็ยังติดสิ่งที่ทำมาแล้วภาพมันชัดอยู่ แล้ว Side by side มันเข้ามาตอบทุกอย่างว่าไม่มีกฎเกณฑ์ side by side ไม่ได้กำลังพูดถึงว่าคุณวัยไหน แต่ side by side แค่เปิดประตูว่าฉันไม่ได้ขายเสน่ห์ ฉันคราฟท์มันมาอย่างสุดพลัง อย่างเหนื่อยมาก แล้วส่งความตั้งใจไปถึงคนดู สุดท้ายมันแค่ตอบเราว่าหรือว่าไอ้เด็กคนนี้อยากจะก้าวเข้าสู่นักแสดงที่ตัดคำว่าวัยรุ่นออกนะ 

ได้มีโอกาสไปเล่นกับพระเอกนางเอกตัวท็อป ณเดชน์ ญาญ่า ?

ต่อ : ตื่นเต้นครับ เราอยู่กันคนละตลาดมากๆ เมื่อก่อนค่ายผมจะอยู่กวัยรุ่นเยอเะ อยู่กับออนไลน์เยอะ ผมไม่คุ้นชินกับทีวีขนาดนั้น คุ้นอย่างเดียวในฐานะผู้ชม ช่อง 3 ชวนมาจอยมาร่วมสนุกกันมั้ย แล้วเมื่อก่อนผมเป็นสวายเด็กชอบลองอยู่แล้ว ชอบปั๊ปก็ไป เรื่องเล่ห์ลับสลับร่าง 

จากซีรีส์วัยรุ่นพอไปร่วมงานกับณเดชน์ ญาญ่า เป็นอีกตลาดเลย มันเกิดอะไรขึ้น ?

ต่อ : งง แล้วรู้สึกว่าผลประกอบการในแง่ความรู้สึกส่วนตัวแย่มาก จำได้ว่าฟีดแบ็คตอนนั้นทุกคนจะมีใหม่บ้าง หลายๆคนก็บอกว่ามันโอเคอยู่นะสำหรับการเข้ามาในละครครั้งแรก แต่ผมจะเปิดเผยความรู้สึกส่วนตัวจริงๆว่าผมไม่โอเคเลย ผมรู้สึกว่าผมทำมันได้ไม่ดี แล้วก็รู้สึกว่าต้องกลับไปฝึกตัวเองใหม่หรืออาจจะต้องยอมรับว่าเราอาจจะไม่เหมาะกับทางนี้ มันแทบจะเกือบ 10 ปี ตอนนั้นวิธรการถ่ายทำละคร ซีรีส์ หนัง แตกต่างกัน มันไม่ได้ถูกรวมเข้าหากัน ทุกวันนี้รู้สึกว่าไม่ว่าจะช่องไหนการถ่ายทำละครมันแทบจะไม่ต่างจากซีรีส์หรือหนังเลยด้วยอุปกรณ์ด้วยอะไรต่างๆมันไม่ต่างแต่ด้วยยุคนั้นมันต่าง วิธีการกำกับ ผมไม่เคยเจอการถูกล็อกที่เขาเรียกกันว่าบล๊อกกิ้ง นาดาวสอนเด็กมาการตามนักแสดงเป็นหน้าที่ของกล้อง พอผมเข้าไปสู่โหมดละครมันกลายเป็นว่า เห้ย ! บัง บังอะไรวะ ผมไม่เคยรู้จักสิ่งนี้ เมื่อก่อนกล้องที่ทำงานกับ GDH หรือ นาดาว ความโปรเฟสชันนอลของเขาก็คือเขาไม่สนบล๊อกกิ้ง สำหรับเขาเอาคนเป็นหลัก กล้องในรายการตอนนี้ไฟแดงที่เรียกว่าสวิชเชอร์ผมทันนะพี่ การแสดงที่ผมเรียนมายากมากกับการเล่นสวิชเชอร์

มีเหตุผลนึงที่ทำให้พักไป 5 ปี ?

ต่อ : ใช่ คือหลังจากที่เล่นเรื่องนี้ ผมได้เห็นว่าพี่แบร์กับพี่ญ่าเขาทำได้ดีมากเลย ตอนนั้นเราก็ไม่ได้ยอมรับความเด็กของเรามาก ประสบการณ์เราน้อย มันกลายเป็นว่าเราถอดใจ เรารู้สึกว่าทำได้ไม่ดีนักเรากลับค่าย เซ็ง ร้องไห้ บอกค่ายว่าไม่เอาแล้วนะ ลองแล้วนะไม่ดีหรอก อย่าเลย 

5 ปีเลยหรอ แล้วผู้ใหญ่ว่ายังไง ?

ต่อ : หลังจากทั้งเล่ห์ลับ จริงๆมันมีอีกเรื่องคือโปรเจคของพี่หน่องคือคิวปิดที่ผมไปจอยด้วย หลังจาก 2 เรื่องนี้จริงๆเข้ามาอีกเรื่อยๆเลย แต่มันถูกปฎิเสธทั้งหมดโดยการที่เราบอกว่าเราไม่ไหว จริงๆยุคนั้นผมพูดเลยว่าผมจะไม่ทำอีกแล้ว ไม่เอาเลย ในฟากของละครนี่ไม่ใช่สนามของเรามันเป็นสิ่งที่เราไม่ถนัด  ณ ตอนนั้นผมรู้สึกว่าต้องเปลี่ยนความเป็นตัวเองเยอะเกินไป มันเลยทำให้เรารู้สึกว่าไม่เหมาะ เราให้คนที่เขาทำได้ดีทำ น่าจะดีกว่าไม่ใช่เรา 

อะไรเป็นจุดเปลี่ยนที่ยอมให้กลับมายืนในวงการในด้านละครตอนนี้ ?

ต่อ : ตลอด 5 ปีหลังจากนั้นผมว่าผมได้ประสบการณ์มากขึ้นจากการทำงานต่อเรื่อยๆแล้วก็ความไม่หยุดพัฒนาบวกกับโตขึ้นแล้ว ตอนนั้นมันเด็กอยู่พอมันประสบการณ์เยอะขึ้นโตขึ้นผมเปิดใจมากขึ้น เมื่อก่อนจะเป็นมุมแบบว่าพอเราเริ่มทำได้ พอเราเริ่มชอบ แพชชั่นเราจะทำให้รู้สึกว่าไม่อยากห่วย เราไม่ยอมรับความห่วย เรารู้สึกว่าเราโดนเฆี่ยนมาขนาดนี้ โดนพ่อเราพี่ย้งกดดันมาขนาดนี้ เราต้องเก่งซิวะ แต่พอมันไม่เก่งแล้วมันนอยด์มันจะรู้สึกว่าฉันไม่ได้ยอมรับความไม่เก่งนี้ แต่ฉันรู้สึกไปเลยว่านี่ไม่ใช่ พอดีกว่า แต่พอเราโตขึ้นใจกว้างขึ้นเราไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว เราเริ่มรู้สึกว่าอะไรที่เราทำไม่ได้เราอยากทำให้ได้

ล่าสุดได้กลับมาเล่นกับพี่ญาญ่าอีกครั้งรู้สึกยังไง ?

ต่อ : ครั้งแรกเรารู้สึกว่าเราคุ้นเคยกัน มันเป็นความคิดถึงของพี่น้องที่เราเคยเจอกันมา ระหว่างทางก่อนที่จะมีโปรดเจ็คนี้ผมกับพี่ญ่าจะมีความต้องการที่จะเล่นด้วยกันผ่านการเจอตามอีเว้นท์ พี่ญ่ากับแม่ปลาน่ารักกับผมเสมอ วันที่ผมรู้ว่าพี่แอนชวนเล่นละครแล้วมันกลายเป็นพี่สาวเราคนนี้พี่ญ่าตัดสินใจว่าเขารับนะ เล่นกับเรา ผมชอบเจอคนเก่งกว่าอยู่แล้ว ผมไม่เคยรู้สึกแย่กับการที่ผมจะห่วยกว่าใครเลย

ได้อะไรกับการร่วมงานกับพี่ญ่าในครั้งนี้ ?

ต่อ : ผมว่าวิธีคิดต่อตัวละครของเขามันเริ่ดมันฉีกกรอบดี ความคิดที่เขาเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน การตีความหรือการเรียกตัวละครที่เขากำลังได้รับอยู่มันเป็นวิธีคิดที่ฟังครั้งแรกอาจจะประหลาดแต่พอลองทำด้วยมันเวิร์คว่ะ 

มีอะไรบอกพี่ญาญ่าหน่อยมั้ย ?

ต่อ : คิดถึงแหละ เพราะว่าตั้งแต่เราจบโปรเจ็คนี้ไม่ได้เจอกันเหมือนออกกองรู้สึกว่าล่าสุดที่เจออัปเดตกันว่ายูน่าจะมีโปรเจ็คใหม่รอเชียร์อยู่

ได้เล่นร่วมกันกับพี่กิ๊ก สุวัจนี เป็นยังไงบ้าง ?

ต่อ : คนเนี้ยคือะเมซิ่ง ผมงงมากเลย่วาผมเข้ากับเขาได้ยังไง เขากันแบบที่ว่าไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแต่เราซิ้งค์กันเลย ผมว่าเขาเป็นหนึ่งในนักแสดงรุ่นพี่ผมรู้สึกว่ายุคสมัยทำอะไรเขาไม่ได้ วิธีการแสดงของเขาเหมือนเขามีออโต้จูน เขาปรับทิศทางได้ตลอดเวลาโดยที่คุณภาพไม่ลด เขาเปลี่ยนวิธีเล่นได้โดยที่ผมรู้สึกสนุก จุดที่เราซิ้งค์กันอันนี้คิดเองมันอาจจะเป็นเรื่องว่าเขาอาจจะสัมผัสได้ถึงความเอาจริง ความตั้งใจของเรา แล้วเขาอาจจะถูกใจสิ่งนี้ มันอาจจะผิดก็ได้ แต่มันทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นเพื่อนเราได้ด้วย ทุกวันนี้หลังจบหนึ่งในร้อยมาพี่กิ๊กมาร่วมงานกับช่องวันต่ออีก ผมกํยังมีคุยกับเขาเรื่อยๆ 

กิ๊ก สุวัจนี : ได้ร่วมงานกับพี่ต่อบอกเลยว่าสนุกมากๆ เวลาที่เราได้เข้าฉากกับพี่ต่อมันเหมือนมีพลังบางอย่าง เราสองคนมีเคมีที่ตรงกัน มีบางอย่างที่เราเล่นแล้วรู้สึกว่าเรามองตากันเราก็สัมผัสได้ว่าเราจะไปในทางไหน บางครั้งเข้าฉากกันเราก็มีหลุดบ่อยมาก แต่ก็เป็นประสบการณที่ดีมากๆที่นักแสดงรุ่นพี่กิ๊กได้มาร่วมงานกับรุ่นน้องที่มีความสามารถเพราะพี่ต่อทำการบ้านมาดีเป็นคนที่เล่นได้ถึงบทบาท เวลาที่ต่อเล่นรู้สึกว่าเราอินไปกับสิ่งที่ต่อเล่น เราคิดว่าพี่ต่อเป็นลูกเราจริงๆ เป็นคนที่ใช้ความรู้สึกได้เก่งมากๆ ถ้ามีโอกาสอีกหวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันอีก

ต่อ : ดีใจที่ไม่ได้คิดไปคนเดียว รู้สึกว่าเรายินดีจากการที่เราได้รู้จักกันจริงๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องการทำงาน พี่น่ารักมากๆ ตอนแรกที่เจอพี่อาจทำให้ผมรู้สึกว่าดุรึเปล่า ความใจดีของพี่มันชนะใจทุกคน ผมเองก็รู้สึกแบบพี่กิ๊ก เราต้องเจอกันอีกจริงๆ

มีเรื่องที่ติดค้างในใจกับคุณพ่อคุณแม่ ?

ต่อ : ในความจริงมันไม่ใช่ติดค้างอย่างนั้น จริงๆผมว่าลูกทุกคนก็ติดค้างพ่อแม่อยู่แล้วในการที่เขาเลี้ยงเรามาแต่ว่ามันเป็นความตั้งใจส่วนตัวสำหรับเด็กคนนึงที่เราอาจไม่ได้อยู่ในเส้นทางที่เขาอยากให้เป็นมาตั้งแต่เด็ก ในช่วงเด็กๆอาจจะออกเส้นทางไปไกลหน่อย เช่น เขาอยากให้ตั้งใจเรียน ติดอ่านหนังสือ แต่เราก็ไปติดเพื่อน เมื่อก่อนเขาอาจจะเคยขอให้เราบวชเขาอยากเห็น แต่เราจะรู้สึกว่า ไม่ เราอยากมีผม หลายๆครั้งในอดีตเราก็มีเรื่องที่เราก็ทำให้เขาเสียใจเยอะเหมือนกันนะ แต่ว่าเมื่อเทียบกับการที่วันนี้โตมาขนาดนี้เรื่องตอนนั้นมันเล็กมากเลย ณ ตอนนั้นมันดูเป็นเรื่องใหญ่ มันก็เลยเป็นความตั้งใจตั้งแต่ผมเริ่มหาเงินได้ด้วยตัวเอง เรารู้สึกว่าคิดเองไม่เคยถามเขาเลย แค่คิดว่าเขาคงเหนื่อยกับเรามาเยอะจะดีมั้ยนะถ้าเขาจะไม่ต้องเหนื่อยแล้ว เป็นความตั้งใจมาตลอด ทุกการทำงานหนักของผม ผมรู้สึกว่าถ้าเขาเหนื่อยกับผมมาเยอะแล้ว วันนี้ถ้าเขาไม่ต้องเหนื่อยแล้วผมเหนื่อยแทน ผมโอเค 

ให้คุณพ่อ คุณแม่เกษียณได้เลย ?

ต่อ : ใช่ ผมไม่แน่ใจว่านับปีถูกมั้ย น่าจะ 5 ปีหรือมากกว่านั้นว่าสิ่งที่ป๊า แม่ ผมทำอยู่มันเป็นแค่งานอดิเรกแล้ว มันควรจะเหลือแค่สิ่งที่ป๊ากับแม่อยากทำได้แล้ว มันไม่จำเป็นต้องมานั่งคิดหน้าคิดหลัง เดี๋ยวผมมาช่วยคิด 

ทำงานเยอะขนาดนี้มีเวลาได้อยู่กับพ่อแม่บ้างมั้ย ?

ต่อ : เนี่ยคือสาเหตุที่ผมไม่เคยมีที่อยู่เองเลย ผมยังคงปักหลักว่าฉันจะอยู่บ้านกับพ่อแม่ ถึงจะเจอกันน้อยก็เถอะหรือวันที่ได้พักตื่นมาก็ยังเจอกัน ซึ่งเคยมีความคิดนะว่าอยากมีที่ที่ได้อยู่ส่วนตัว แต่ผมแค่มองว่าวันนี้ถ้ายังมีคำว่าครอบครัวมาผมก็ยังเลือกครอบครัวก่อน หลายคนชอบถามว่าไม่คิดจะอยู่คอนโด อยู่บ้านตัวเองบ้างหรอ ไม่ครับ 

แพลนอนาคตไว้ยังไง ?

ต่อ : อยากเป็นนักแสดงต่อไปเรื่อยๆ แต่แค่จุดที่อยากเป็นที่สุดคืออยากแสดงโดยที่ไม่ต้องคิดถึงรายได้ จุดนึงผมก็อยากให้แอ็คติ้งของผมมันเป็นงานอดิเรก อยากอยู่ในจุดที่เราพาตัวเองและครอบครัวไปอยู่ในจุดที่ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังมีอิสรภาพในทุกๆทางไม่ว่าจะเป็นการเงินและเวลา ทุกวันนี้ก็ต้องยอมรับว่าบันเทิงมันมีความธุรกิจอยู่ เราไม่ได้สามารถใช้ใจทั้งหมดได้หรอก สุดท้ายมันก็ต้องมีเรื่องรายได้แต่ละปีเพราะเราก็คือคนทำงานคนนึง ถ้าวงแผนคิดได้เร็วสุดก็น่าจะอารมณ์พาตัวเองไปอยู่ขั้นนั้นให้ได้

ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow ทุกวันจันทร์-วันศุกร์ เวลา13.15-14.15 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

คลิปสัมภาษณ์ : 

About Author