เก๋-ชลดา เป็นปลื้ม สานฝันน้อง ๆ มูลนิธิศุภนิมิตฯ จนถึงฝั่ง ภูมิใจใคร ๆ ก็นึกถึง ขอบคุณฉายา ดาราจิตอาสา
“โอกาส” จากใครคนหนึ่ง เปลี่ยนชีวิตได้อีกหลายสิบคน กว่า 50 ปี ที่ มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย องค์กรสาธารณกุศล เพื่อการพัฒนาและการรณรงค์เพื่อสร้างความยุติธรรมในสังคม ดำเนินพันธกิจเพื่อช่วยเหลือเด็ก ผ่านการทำงานร่วมกับครอบครัวและชุมชน ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า “การแบ่งปันโอกาส” สร้างชีวิตใหม่ให้เด็กด้อยโอกาสได้เข้าถึงการศึกษา ต่อยอดชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้อย่างยั่งยืนนั้น “ทำได้จริง”
เก๋-ชลดา สิริสันต์ (เมฆราตรี) นักแสดง พิธีกรสาว หนึ่งกระบอกเสียงในฐานะแบรนด์ แอมบาสเดอร์ ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่ใช่เพียงน้อง ๆ ที่ได้รับโอกาสจากการให้ในแต่ละครั้ง ผลลัพธ์ยังรวมถึง ครอบครัว ชุมชน ที่ได้โอกาสในการสร้างอาชีพ พึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนด้วย
ไม่ต้องเป็นดาราเซเลบฯ คำว่า “ฮีโร่” ผู้ให้ ใคร ๆ ก็เป็นได้
เก๋-ชลดา ดาราจิตอาสา จากบทบาทของผู้ให้ ผู้อุปการะมากว่า 17 ปี จนมาถึงจุดยืนใหม่ ในฐานะแบรนด์ แอมบาสเดอร์คนแรก แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ เธอได้แชร์มุมมองให้เราฟังว่า “ต้องบอกเลยว่า เราได้มาเป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ของมูลนิธิศุภนิมิตฯ คือดีใจมาก ๆ และยังเป็นคนแรกด้วย คือเราได้เข้ามาคลุกคลีกับมูลนิธิฯ มากว่า 17 ปีแล้ว โดยเริ่มจากการเป็นผู้บริจาคผู้อุปถัมภ์คนหนึ่งเหมือนกัน พอทางมูลนิธิเห็นว่า เราน่าจะทำประโยชน์เพื่อน้อง ๆ ได้มากกว่านี้ เลยชวนมาเป็นกระบอกเสียง ซึ่งเราก็ยินดีมาก เราทำหน้าที่แบรนด์ แอมบาสเดอร์ปีนี้เป็นปีที่ 2 เรามองว่าการทำบุญหรือการให้โอกาส มันมีหลายรูปแบบ แล้วการให้มันยิ่งใหญ่มาก เราแค่อยากเป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนออีกทางเลือกหนึ่งให้ทุกคนได้เห็นว่า การให้แบบนี้ก็ทำได้นะ เพราะเรามองว่า โอกาส มันไม่ได้เกิดขึ้นทุกวันนะ แต่มันก็มีหลายคน ที่กำลังรอคอยโอกาสมาทั้งชีวิต ที่จะได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น น้อง ๆ ได้มีโอกาสทางการศึกษา ชาวบ้านในชุมชน มีอาชีพที่ยั่งยืนหรือว่ามีโอกาสที่จะอยู่กันพร้อมหน้า ทำไมเราถึงเล่าได้ขนาดนี้ ก็เพราะว่าเราคลุกคลี ตามไปลงพื้นที่จริงมาเกือบทุกที่แล้ว ได้เห็นชีวิต เห็นสภาพความเป็นอยู่ เพราะมูลนิธิศุภนิมิตฯ เป็นองค์กรการกุศลที่ช่วยเหลือเด็กยากไร้ครบทุกองค์ประกอบจริง ๆ แน่นอนอย่างแรกเลยคือ ช่วยเหลือเด็กให้มีโอกาสทางการศึกษา เราเชื่อเหลือเกินว่า ท้ายที่สุดแล้วการให้โอกาสทางการศึกษาจะสร้างความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เป็นประตูบานหนึ่งที่ทำให้น้อง ๆ มีวุฒิภาวะ มีวัยวุฒิ ได้ประกอบอาชีพที่ถูกที่ควร ท้ายที่สุดก็วกกลับไปที่การสร้างความเปลี่ยนแปลงในชุมชนบ้านเกิด และสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ ขอยกตัวอย่าง น้องที่ได้อุปการะอยู่ ล่าสุดเรียนจบปริญญาตรีแล้ว ได้ทำงานเป็นนักสังคมสงเคราะห์ ตามที่ได้ตั้งใจไว้ ได้มีโอกาสส่งต่อความช่วยเหลือไปยังคนอื่นๆ อุทิศตัวเองให้กับสังคม คือเราไม่ได้สร้างเมล็ดพันธุ์ที่ดีอย่างเดียวนะ เรายังสร้างต้นไม้ใหญ่ ให้พวกเขากลับไปเป็นร่มเงาให้ถิ่นฐานเขาอีกด้วย เหมือนเราช่วยใครสักคน ถ้ามีแต่ให้อย่างเดียวมันมีวันหมด แต่ถ้าเราให้โอกาสให้เขาได้ใช้ชีวิต เขาจะยืนหยัดได้ด้วยตัวเขาเอง ต่อให้ไม่มีเรา ซึ่งตรงนี้ เรามองว่า เป็นความสำเร็จของมูลนิธิศุภนิมิตฯ เลยนะ ความสำเร็จที่ใช้เวลาสั่งสมมาตลอดการเดินทางกว่า 50 ปี”
การให้โอกาส เพื่อสร้างเม็ดพันธุ์คุณภาพ กลับคืนสู่สังคมและชุมชนบ้านเกิด เป็นเรื่องที่ทำคนเดียวไม่ได้ แต่ทว่าถ้าทุกคนในสังคม ให้ความสำคัญ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ปลูกฝังคนรุ่นใหม่ที่มีใจอาสา มีจิตวิณญาณของการเป็นผู้ให้แล้วนั้น ประเทศไทยก็จะมีต้นไม้ใหญ่ที่ผลิดอกออกผล คืนกลับสู่สังคมต่อไป อย่างเช่น 3 คนคุณภาพ ผลผลิตจากการได้รับโอกาส และหล่อหลอมขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และกลายเป็นบุคคลต้นแบบในการสร้างแรงบันดาลใจขับเคลื่อนสังคมให้เดินหน้าต่อไปได้อย่างยั่งยืน
จากเด็กในความอุปการะของมูลนิธิศุภนิมิตฯ สู่เส้นทางแม่พิมพ์ของชาติ
นายโกวิทย์ รักษา หรือครูเบส อดีตเด็กในความอุปการะของมูลนิธิศุภนิมิตฯ ได้รับการบ่มเพาะขึ้นใหม่อีกครั้ง จนประสบความสำเร็จ เล่าย้อนกลับไปยังเส้นทางแห่งโอกาสให้เราฟังว่า “ชีวิตความเป็นอยู่วัยเด็กของผม ตอนนั้นค่อนข้างยากลำบากมากครับ พ่อแม่ก็แยกทางกัน แต่ยังโชคดีที่ตอนนั้นมีมูลนิธิศุภนิมิตฯ เข้ามาช่วยเหลือผมและครอบครัวไว้ ช่วยเหลือทั้งเรื่องอุปกรณ์การเรียน การสนับสนุนอาชีพเสริมสร้างรายได้ ทำให้ผมมีโอกาสได้เรียน ได้รับการพัฒนาตนเอง ทั้งยังช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายครอบครัวของผมได้มากเลยครับ เพราะความรักจากผู้อุปการะ มูลนิธิศุภนิมิตฯ และเจ้าหน้าที่ผู้เอื้อกระบวนการพัฒนาชุมชน ที่ได้ช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาสคนนี้ ทำให้ผมได้มีโอกาส ได้ประสบความสำเร็จ และตอนนี้ผมได้เป็นครูในพื้นที่ จ.น่าน แล้วนะครับ” ครูเบส กล่าวด้วยรอยยิ้ม
เด็กกลุ่มเปราะบาง กับโอกาสที่เข้ามาเติมเต็มจนเติบโต กลายมาเป็นบุคลากรการแพทย์ที่มีคุณภาพ
นายลิขิต มีกัณหา หรือโอ้ พยาบาลหนุ่มวัย 23 ปี ประจำแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลชาติตระการ อ.ชาติตระการ จ.พิษณุโลก ที่โอกาสเข้ามาเปลี่ยนชีวิต “ครอบครัวของผมมีอาชีพหลักคือทำเกษตร ปลูกข้าวโพด ทำนา และรับจ้างทั่วไป ผลผลิตไม่แน่นอน บางปีผลผลิตไม่ดีก็ต้องไปกู้ยืมเงิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว ทุนชีวิตที่จำกัดทำให้ คำว่า บุคลากรทางการแพทย์ เป็นแค่ความฝัน แต่เพราะผู้อุปการะ ได้มอบน้ำใจช่วยเหลืออุปการะผ่านโครงการอุปการะเด็กของมูลนิธิศุภนิมิตฯ ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถม นอกจากตัวผมที่ได้รับความช่วยเหลือ ครอบครัวผมก็ยังได้รับการส่งเสริมเรื่องอาชีพด้วย ที่ผมเลือกเรียนพยาบาล เพราะอยากได้ชื่อว่าเป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความสามารถ จะได้ช่วยเหลือคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย ผมได้รับกำลังใจจากผู้อุปการะจากจดหมายที่ท่านเขียนตอบกลับมาให้ผม ผมรับรู้ได้ถึงความห่วงใยและความสำคัญที่ท่านมอบให้กับเรา ตอนนี้ผมเรียนจบพยาบาลแล้ว และได้ทำงานเป็นบุคคลากรทางการแพทย์สมใจ ผมขอใช้โอกาสนี้ เป็นตัวแทน ขอบพระคุณผู้อุปการะ และมูลนิธิศุภนิมิตฯ ที่ทำให้พวกเราเติบโตขึ้นมา มีอนาคตที่ดี ช่วยเหลือตนเองและครอบครัวให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากเดิม พร้อมทำประโยชน์เพื่อสังคมต่อไปครับ”
และในปีนี้ มูลนิธิศุภนิมิตฯ อยู่เคียงข้างสังคมไทยมาเป็นระยะเวลา 50 ปีแล้ว และยังคงทำหน้าที่เป็นองค์กรเพื่อการพัฒนาและสาธารณกุศล มีพันธกิจเพื่อช่วยเหลือเด็กภาวะเปราะบาง ยากไร้ ให้ได้รับโอกาสการศึกษา ได้มีสุขภาพอนามัยและโภชนาการที่ดี ได้รับการปกป้องคุ้มครอง ครอบครัวได้รับการสนับสนุนส่งเสริมให้มีอาชีพ เพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นต่อไปเรื่อยๆ หากได้รับการสนับสนุนร่วมมือและความช่วยเหลือจากทุกคน เข้ามาช่วยกันขับเคลื่อน ตระหนักถึงปัญหา และต้องการมอบโอกาส เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในสังคมไปพร้อมๆ กัน …ใครๆ ก็เป็น ฮีโร่ ได้
เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี ร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับแคมเปญ “แค่นี้ ของเราไม่เท่ากัน” ได้ที่ >>>> https://bit.ly/3IzYBw0