DKSH ประเทศไทยสร้างมาตรฐานใหม่ในการจัดส่งสินค้า
ผ่านการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ
บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด เริ่มต้นใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าในการจัดส่งผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในประเทศไทย นับเป็นจุดเริ่มต้นและจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญที่สร้างมาตรฐานใหม่ด้านการขนส่งที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเน้นย้ำวิสัยทัศน์ขององค์กรที่ต้องการส่งมอบและดูแลผู้ป่วยอย่างดีที่สุด
กรุงเทพฯ 19 มีนาคม 2567 – หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำในการให้บริการขยายตลาดแก่ธุรกิจในภูมิภาคเอเชียและทั่วโลก เดินหน้าสานต่อแนวคิดเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืนด้วยการต่อยอดจากเดิมที่ริเริ่มการส่งสินค้าด้วยรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครในปี 2565 ไปสู่การนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้สำหรับการจัดส่งสินค้าในประเทศไทย กระบวนการจัดการสินค้าและบริการองค์รวมดังกล่าวสอดรับกับเป้าหมายของบริษัทฯ ในฐานะผู้นำในธุรกิจการดูแลสุขภาพที่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ
การนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งานในครั้งนี้ครอบคลุมการขนส่งผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจากศูนย์กระจายสินค้าของ DKSH ทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ ศูนย์กระจายสินค้าในส่วนของเครื่องมือแพทย์ ศูนย์กระจายสินค้า ศรีเพชร และ ศูนย์กระจายสินค้าศรีวรินทร์ ไปสู่พันธมิตรทางธุรกิจในกรุงเทพมหานครและพื้นที่ใกล้เคียง โดยหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพมีความตั้งใจจะเพิ่มจำนวนการใช้รถไฟฟ้าในการจัดส่งสินค้าภายในปีนี้ ด้วยแนวทางการดำเนินงานที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม คาดว่าการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาใช้งานจะช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเฉลี่ยมากกว่า 7.7 ตันต่อปี ทั้งนี้ DKSH มีนโยบายในการส่งเสริมเป้าหมายด้านความยั่งยืนของบริษัทในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึงร้อยละ 55 ภายในปี 2024 และร้อยละ 70 ภายในปี 2027
แนวคิดริเริ่มในการนำรถยนต์ไฟฟ้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการขนส่งสินค้านั้น ช่วยลดปริมาณการผลิต ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน และพัฒนาระบบการดำเนินงานในทุกขั้นตอนด้วยการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้งาน การขนส่งด้วยรถยนต์ไฟฟ้ายังช่วยควบคุมอุณหูมิให้อยู่ที่ 25 องศาเซลเซียสระหว่างการขนส่ง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพจะไปถึงผู้รับปลายทางได้อย่างมีคุณภาพและปลอดภัย นอกจากนี้ปณิธานเรื่องความยั่งยืนที่ DKSH ให้ความสำคัญมาโดยตลอดยังสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐที่ได้ออกแนวทางการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยการตั้งเป้าผลิตรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ให้ได้อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดในปี 2573 ถือเป็นอีกหนึ่งกลไกที่จะนำพาประเทศไทยเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำในอนาคต
นอกจากนี้ การดำเนินงานจัดส่งสินค้าด้วยรถไฟฟ้าสามารถทำรอบการขนส่งได้มากกว่า 110 ครั้ง ด้วยระยะทางกว่า 5,000 กิโลเมตร ครอบคลุมจำนวนการขนส่งกว่า 280 ทริป ให้แก่ โรงพยาบาล คลินิก แพทย์ เภสัชกร ร้านขายยา ทันตแพทย์ และร้านจัดจำหน่ายแว่นตา ซึ่งประเมินเป็นจำนวนคำสั่งซื้อกว่า 640 รายการ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทฯ ที่ต้องการส่งเสริมการเข้าถึงและดูแลผู้ป่วยให้ดีที่สุด
เป้าหมายในการดำเนินงานของหน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่กระบวนการขนส่ง การนำรถไฟฟ้ามาใช้งานยังช่วยให้การส่งมอบผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และเวชภัณฑ์ต่างๆ มีความต่อเนื่องและได้รับภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิตของผู้ป่วยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะทุกนาทีนั้นมีค่า ดังนั้นการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ในการดำเนินงานเป็นเสมือนเครื่องยืนยันได้ว่า ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลและเข้าถึงในเวลาที่พวกเขาต้องการมากที่สุด
นายแพทริค แกรนเด รองประธานฝ่ายบริหาร หน่วยธุรกิจผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เริ่มต้นนำรถไฟฟ้ามาใช้ในกระบวนการการจัดส่งสินค้า จากศูนย์กระจายสินค้าในฐานะผู้นำที่ให้บริการด้านการขยายตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในประเทศไทย ซึ่งถือเป็นหมุดหมายสำคัญของบริษัทในการมอบบริการที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ การใช้งานรถไฟฟ้าจึงเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันที่จะช่วยให้ทุกภาคส่วนสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้อย่างครอบคลุมและทั่วถึง”
นายนีล แมคแคน รองประธานฝ่ายบริหารซัพพลายเชน บริษัท DKSH (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “เรายังคงเดินหน้าเพื่อลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ในกระบวนการดำเนินงานของเรา การลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของแผนงานระยะยาวที่จะลดปริมาณการใช้พลังงานดังกล่าว โดยการใช้พลังงานทางเลือกเป็นตัวทดแทน DKSH มีนโยบายด้านการส่งเสริมความยั่งยืนที่ชัดเจน จึงทำให้การดำเนินงานต่างๆ ตอบโจทย์เป้าหมายที่วางไว้ในการบริหารจัดการดูแลสิ่งแวดล้อม สังคม และรับผิดชอบถึงผลกระทบที่อาจเกิดต่อเศรษฐกิจ สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ในวิสัยทัศน์ของบริษัทฯ ที่ต้องการส่งเสริมและสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนโดยรวม”