“โตโน่ ภาคิน” ทุ่มสุดตัว! ย้อนตำนานชีวิตวัยหนุ่ม “เสือดำ” เผยอาคม “หมัดธนู-คาถาซัดฝุ่น” ในภาพยนตร์ “เสือ”

สัมภาษณ์ “โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์” กับบท “เสือดำ” ที่อินที่สุดในชีวิต กลับมาครั้งนี้ ดุดันกว่า หมัดหนักกว่า เลือดร้อนกว่า พร้อมเผยตำนานวิชาอาคมมากกว่าที่เคยเห็น ใน “เสือ” มหากาพย์ภาพยนตร์แอ็กชันไทย
อีกหนึ่งศิลปิน-นักแสดงฝีมือดี “โตโน่ ภาคิน” เป็นที่รู้จักจากเวทีประกวดร้องเพลง “เดอะสตาร์ 6” จนมีผลงานเพลงและการแสดงที่สร้างชื่อเสียงมากมาย โดยด้านภาพยนตร์ เขาได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง “นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม” จาก “Love Syndrome รักโง่ๆ” (2556) บนเวทีสุพรรณหงส์, ชมรมวิจารณ์, และ Starpics Thai Film Awards ก่อนได้รับรางวัล “คมชัดลึกอวอร์ด ครั้งที่ 20” สาขา “นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม” จากบท “เสือดำ” ในภาพยนตร์ “ขุนพันธ์ 3” (2566) และล่าสุด เขากลับมารับบทบาทที่รักที่สุดในชีวิตอีกครั้งกับช่วงวัยหนุ่มเลือดร้อนของ “เสือ” ภาพยนตร์แอ็กชันไทยฟอร์มยักษ์น่าจับตาแห่งปี

บทบาท-คาแร็กเตอร์
“เสือดำ” เป็นบทที่ผมรักที่สุดตั้งแต่รู้จักการแสดงมา ผมทำการบ้านมากในการที่จะสร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมาทั้งจากประวัติของพ่อเสือดำจริง และจากที่คนเขียนบทแต่งขึ้นมา รวมถึงตัวผมเองที่สร้างขึ้นมารวมกัน เป็นอะไรที่สนุก มีความสุข แล้วก็ภูมิใจกับเสือดำ
ผมรู้จักกับคาแร็กเตอร์นี้มาตั้งแต่ปี 2565 สามปีแล้วที่อยู่กับเขามา ตอนแรกที่เข้ากับคาแร็กเตอร์เสือดำ เรายังควบคุมเขาไม่ได้ก็เลยอินมาก ผมพยายามทำให้มันดีขึ้น เพราะไม่อยากให้มันมืดมนเกินไป อย่างที่เห็นใน “ขุนพันธ์ 3” เสือดำยืนอยู่ในจุดที่ดำมืด ตอนนั้นผมยอมรับเลยว่ามีปัญหาจนต้องไปปรึกษาจิตแพทย์ แต่กลายเป็นว่าในตอนที่ “โตโน่” มีปัญหา เชื่อไหมว่าบทนี้ช่วยผมไว้
แต่สำหรับเรื่อง “เสือ” มันย้อนกลับไปก่อนที่จะเจอ “ขุนพันธ์” เล่าแผลที่เขาเจอมา ตอนเจอกับกลุ่มเสือเฒ่า มันเลยมีพื้นที่ให้ผมจินตนาการว่าคนนี้ทำอะไรมาบ้าง แล้ว “พี่โขม” (ก้องเกียรติ โขมศิริ – ผู้กำกับ) ก็มีโจทย์ที่เคยบอกว่าก่อนที่คนนี้จะเป็นเสือดำ เขาเป็นเหมือนแมวจร มันมีรอยกัด ผอมโซจะตายวันไหนก็ได้ ไม่ได้ฉีดวัคซีน ไม่มีอาหาร และไม่รู้ว่ามันไปทำอะไรมาบ้าง สภาพถึงได้เหมือนโดนหมารุมกัด แมวด้วยกันรุมฟัด เพราะเป็นตัวเดียวที่เข้ากับใครไม่ได้

เสือดำในเวอร์ชันนี้ก็เป็นอีกเวอร์ชันที่ผมรักมาก มันมีเรื่องความเชื่อ มีเรื่องของจิตวิญญาณ เรื่องของความดีเลวในตัว เราไม่ได้มาเล่นเป็นพระเอกเสือดำ เราเป็นโจร ผิดก็คือผิด เลวก็คือเลว ไม่มีข้อแก้ตัว คือหนังพี่โขมไม่ใช่หนังจะบอกเรื่องของคนดีกับคนไม่ดี แต่เป็นหนังที่เล่าถึงคนที่เกิดอยู่ในกลุ่มก้อนเดียวกันที่อยู่ในเฉดสีเทา แต่เทาเข้มหรือเทาอ่อน
แบ็กกราวนด์ “เสือดำ” วัยหนุ่ม
ภาคนี้เขากลับมาอย่างมีที่มาที่ไปครับ เราจะได้เห็นว่า “เสือดำ” ได้หมัดธนูมายังไง ตีนหนักเท้าหนักมาจากไหน มันได้ “คาถาซัดฝุ่น” ที่สามารถจะเสกฝุ่นสลายอาวุธของคู่ต่อสู้ได้ ความเหนียวและคงกระพันได้มาจากอะไร อาวุธหลักก็คือปืนคู่ลูกซองสั้น แล้วที่เติมเข้ามาคือสนับมือครับ เขาก็ยังเป็นเสือดำที่สู้ไม่ถอย ต่อยหนัก ในภาคนี้เราจะได้เห็นว่าเสือดำเป็นนักมวย สู้หมดไม่สนใครเพื่อความอยู่รอด
อย่างที่บอกเขาเหมือนแมวจรที่ไปโดนหมาที่ไหนรุมมาไม่รู้ หรือเป็นแมวที่ไม่มีใครเอา พวก “เสือเฒ่า” ทำให้เขาได้อยู่ตรอกโรงมวย เรารู้สึกขอบคุณเสือเฒ่าทั้งหลายซึ่งเราจะเห็นพวกเขามาตั้งแต่ “ขุนพันธ์ 3” เขาเป็นครอบครัวเราจริงๆ ถึงตัวบทของเสือดำมันจะไม่เคยพูด ไม่เคยบอกรักใครสักคน หลายคนเข้าใจว่าเขาเป็นคนใจร้าย แต่ในเรื่อง “เสือ” เราจะได้เห็นอีกมุมหนึ่งที่มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น จุดดำของเสือดำอาจจะเยอะ และอาจจะมีจุดขาวเพียงจุดเดียว แต่จุดนั้นมันมีความหมายกับเขา ผมก็เลยรู้สึกยิ่งรักตัวละครตัวนี้
ซึ่งตอนแรกผมเถียงกันกับ “พี่โขม” และทีมเขียนบทหนักมาก เพราะว่าผมไม่โอเคเลยที่มาเขียนให้เสือดำมีความรัก มีมุมมองน่ารัก เพราะผมผ่านเสือดำที่มืดดำสนิทมาแล้ว ไม่เคยรู้หรอกว่าแท้จริงแล้วเขาก็มีด้านสว่าง ก่อนที่เขาจะดูดฝิ่น ก่อนที่เขาจะกลายเป็นเสือดำใน “ขุนพันธ์ 3” เขาเป็นคนที่ยังมีมุมสดใสอยู่บ้าง สีของเขามันยังไม่ดำสนิท ในเรื่อง “เสือ” เขายังไม่ได้อยู่ในนรก เขามีความสุขกับแสงสว่าง ยังมองต้นไม้เห็นลำธารแล้วรู้สึกสดชื่น พอเรามาดูภาคนี้แล้วผมรู้สึกว่าไม่อยากให้เสือดำได้เดินทางไปอยู่ในจุดที่เป็นภาคสาม ผมยังรู้สึกว่าเส้นทางเขายังสามารถไปทางที่ดีงามได้ โลกของเสือดำในขุนพันธ์ไม่มีแสงสว่างแล้วตอนนั้น แต่พอเราทำการบ้านเป็นเขาเข้าไปจริงๆ ก็รู้สึกขอบคุณพี่โขมและคนเขียนบททุกคนที่เปิดมุมนี้ให้ผมได้เล่นที่ไม่ได้มีแต่ความดำมืดแล้วน่ากลัวอย่างเดียว

การเตรียมตัวและความทุ่มเทยังคงเต็มร้อย
มันไม่มีภาคไหนที่ความเหนื่อยมันน้อยลงเลย ดังนั้นเราน่าจะรู้อยู่แล้วว่ามันจะเหนื่อยขึ้นแน่ เราต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม แล้วก็เตรียมโลกของเสือให้พร้อม เพื่อที่เราจะไปทำการบ้านอย่างที่ไป “แช่ว่าน” ก็เพราะว่าอยากรู้เรื่องของพวกเขาว่ามันรู้สึกยังไง เราต้องอยู่ในนั้นนานขนาดไหน เราต้องเชื่ออะไรบ้าง การไปบ้านของ “พ่อเสือดำ” ก็เพื่อไปดูอาวุธที่เขาใช้ พระที่เขาห้อย ลูกหลานของเขาที่ยังเหลืออยู่ ทุกอย่างก็ค่อนข้างสนุกดี
มีการฝึกซ้อมอะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับอาวุธใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาไหม
ก็หยิบจับใช้ให้คล่องครับ ต้องขอบคุณทางพร็อปด้วยที่เขาทำมาดีมาก มันพอดีไม่หลุดเวลาซ้อม เวลาต้องใช้จริง เอาเข้าฝักในเอวได้ เอาออกมาได้คล่องตัว ก็มีหยิบยืมปืนกลับไปบ้านเพื่อกลับมารื้อฟื้นท่าทางกันอีกครั้ง ในภาคนี้ “เสือดำ” จะใช้พวก “หมัดธนู” เป็นอาคมที่เขาได้มาอีกอย่างที่ทำให้เขาต่อยแรงกว่าเดิม แล้วยังใส่สนับมือเข้าไปอีก มันสะใจดีครับเวลาทุบเวลาอัดกัน ถึงในทางหนังเราคงไม่ต่อยเพื่อนเราจริงๆ ในคิวแอ็กชันมันมีระยะ มีเทคนิคที่ช่วยทางภาพ เน้นให้สวยงาม อย่าง “เสือใบ” มีกระสุนคต “เสือมเหศวร” หลบกระสุนได้ แต่กับตัวเสือดำมันใช้ทางหมัดทางมวย ใช้เท้า เข่า ศอก ท่าทางก็ต้องหนักหน่วงกว่าคนอื่นหน่อย
แล้วก็มีเรื่องของการขี่ม้า ตอนจบ “ขุนพันธ์ 3” เราก็ไปเรียนขี่ม้าต่อ เราต้องบังคับม้าให้ยกขาได้ แต่กับภาคนี้โจทย์ของพี่โขมคือเขาอยากได้ขี่ม้าไปแล้วยิงปืนสองมือด้วย เราก็ต้องใช้ขาในการบังคับม้าแทน ซึ่งก็ต้องกลับไปรื้อฟื้นกันอีกหน่อย ใช้เวลาไม่นานก็เข้าใจ

ชื่นชอบฉากไหนเป็นพิเศษ
มีฉากน่าตื่นตาตื่นใจหลายฉาก สำหรับผมมันทุกฉากเลยนะพูดจริง สวยทุกฉากเลยแล้วก็ตั้งใจทุกดอก อย่างซีนที่เราไปถ่ายทำกันที่ปราจีนบุรี ผมทึ่งตั้งแต่ตอนที่เขาเปลี่ยนจากลานจอดเฮลิคอปเตอร์ ให้กลายเป็นสมรภูมิรบ มีควายนำโชคนอนอยู่ด้วย เราก็ถ่ายกันทั้งวันทั้งคืน แค่นึกก็เหนื่อยแล้วครับ มันมีฉากแอ็กชันที่ประชิดตัวประมาณหนึ่ง ต่อสู้กันมากมายที่นั่น เป็นซีนที่ต้องเซตระเบิดใหญ่ลุกท่วมเลย แล้ว “4 เสือ” ต้องเดินมาเท่ๆ ประทับใจที่นักแสดงสมทบทุกคน เขามายืนรอดู ทุกคนอยากเห็นซีนนี้ ภูมิใจ รักและเหนื่อยมาด้วยกัน มันไม่ใช่แค่ความรู้สึกของนักแสดงหลักอย่างเดียวที่จะตั้งหน้าตั้งตารอชมฉากเดือดๆ กับตัวพี่สตันต์ที่มาร่วมงานทุกคนล้มลุกกันไม่รู้กี่ครั้ง ทีมสลิง ทีมผู้กำกับ เราช่วยกันให้เกิดซีนนั้นและเรื่องราวทั้งหมด จริงๆ คือชอบทุกซีนเลยนะ
อีกซีนที่ผมชอบคือซีนที่ได้อยู่กับพวก “เสือเฒ่า” ในเรื่องผมอยู่กับพวกเขาเป็นเหมือนครอบครัว มันเลยทำให้ผมรักพวกเขาเวลาที่อยู่ทั้งในและนอกจอ เรารู้ว่าซีนพวกเราผ่านอะไรกันมาบ้าง “พี่ฟ้า”, “พี่โต” และคนอื่นๆ มันมีแววตา เรื่องราวที่ผ่านกันมาตั้งแต่ “ขุนพันธ์ 3” จนมาเรื่อง “เสือ” เราใช้เวลาอยู่ด้วยกันนาน แล้วในเรื่องนี้เสือเฒ่าก็เหมือนครอบครัวของเรา มันมีความเข้าอกเข้าใจกัน แม้กระทั่งกับในวันนี้เรารู้สึกไม่โอเค ก็ยังมีพี่ๆ เป็นกำลังใจ
ส่วนซีนที่ “4 เสือ” เจอกัน ผมรู้สึกว่าทุกซีนมันเหนื่อยหมดไม่ว่าจะเป็นเจอกันเปิดเรื่อง กลางเรื่อง ปลายเรื่อง แต่ที่ชอบอันหนึ่งคือฉากที่ไม่ได้บู๊กัน แค่เดินเข้ามาพร้อมกันแล้วต่างฝ่ายต่างเอาปืนจ่อกัน แล้ววัดใจกันว่ามึงยิงไหม เอาไง เรารู้สึกว่าภาพแบบนี้คงไม่ได้มีบ่อยกับการที่สี่คน มายืนจ้องแล้วก็จะตัดสินใจว่าจะเล่นกันเองหรือว่าจะเอาไงต่อไง ตอนนั้นทุกคนถ่ายกันมาสักพักแล้ว “เสือฝ้าย”, “เสือมเหศวร”, “เสือใบ” รวมถึงตัวผม “เสือดำ” มันเป็นเสือกันร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว
จริงแล้วฉากที่ “4 เสือ” เจอกันแล้วต้องสู้กัน ชอบทุกซีน อย่างซีนที่ “เสือดำ”, “เสือมเหศวร”, “เสือใบ” โดนคาถาตวาดหิมพานต์ของ “เสือฝ้าย” แล้วต้องกระเด็นลอยกระแทกกระจกหน้าต่างเต็มไปหมด มันสะใจมาก เราจะเห็นว่าคาถาของเสือฝ้ายพลังมันขนาดไหน พวกเราสามเสือถึงได้กระเด็นกันขนาดนั้น ระหว่างถ่ายทำก็จะมีสลิงคอยดึงพวกเรากระแทกทะลุกระจกออกไปจริงๆ แล้วมีเบาะรองรับ มีทีมงานคอนซัปพอร์ตอยู่ข้างหลัง การทำงานค่อนข้างจะปลอดภัย แต่สำหรับผมที่ชอบเพราะมันสะใจ บางซีนเราไม่ได้อยากรบกวนพี่สตันต์ เรารู้ว่าเขาทีมงานเขาถ่ายเก็บทั้งแคบทั้งกว้างได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นพวกเราเล่นเองก็ได้ในซีนที่กว้างมากๆ แต่สำหรับผม ผมก็อยากจะเล่นเอง ผมว่ามันท้าทายดีในฐานะของนักแสดง แล้วมันก็ทำให้เราอยากจะพัฒนาตัวเอง ยิ่งถ้าเราตั้งใจ เรารักมัน มันก็เหมือนกับเป็นการให้เกียรติคนดู เราอยากให้คนดูกลับมาเข้ามาในโรงหนัง อยากให้คนดูช่วยกันสนับสนุนหนังไทย พวกเราเองก็ควรจะตั้งใจกับมัน
ซีนที่ขี่ม้าก็ชอบครับ ทางทีมงานไปเลือกโลเคชันที่สวยมาก พระอาทิตย์กำลังจะตกดินอีกไม่กี่นาที มันเป็นช่วงเวลาที่เหลือให้ถ่ายสั้นมาก ทุกคนต้องขี่ม้าเรียงมา มีโดรน มีกล้องอยู่บนรถถ่ายไล่ตามบ้าง ดักหน้า ดักข้างบ้าง แล้วบนม้าทุกคนอยู่ในคาแร็กเตอร์ ผมเชื่อมั่นในเพื่อนทั้งสามคนว่าทำได้ทันและออกมาดี เขารู้ว่าแอ็กชันแล้วคัตแล้วต้องรีบควบม้ากลับไปสแตนด์บายทันที เผื่อว่าทางทีมกล้องทีมพี่โขมยังอยากได้ภาพเพิ่มอีก ทุกคนตื่นตัวและช่วยกันทำให้มันเกิดภาพสวยๆ อย่างที่บอกเวลามันแข่งกับพระอาทิตย์ตกดิน มันสั้นมาก การควบคุมม้าให้เป็นกลุ่มก้อนเดียวกันมันไม่ง่ายเลย
ทีมงานเบื้องหลังสุดยอดฝีมือ
แน่นอนครับ เราเอาหัวกะทิในด้านภาพยนตร์มารวมกัน ทุกคนรักในหน้าที่ของตัวเอง เรามีทีมออกแบบคิวบู๊ที่เก่งมาก ทีมเสื้อผ้า ทีมอาร์ต ทีมโดรน ทีมเอฟเฟกต์ ทีมม้า ที่ทุกคนอินกับการทำงาน ตั้งใจกับการทำงาน นักแสดงพร้อมที่จะเหนื่อยกี่รอบก็ได้เพราะรู้ว่ามันจะออกมาสวย ออกมาดี ทุกคนรู้ว่าโปรเจกต์แบบนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ในหนังบ้านเรา มันไม่ใช่แค่หนังแอ็กชันที่จะมายิงกันเท่ๆ อย่างเดียว กับเรื่อง “เสือ” มันมีความรู้สึกหลากหลายทั้งมุมสนุกสนาน มุมบ้าระห่ำ มุมดราม่า ที่มันเกินร้อยเลยครับ
ถ้าสำหรับแฟนหนังที่เคยดู “ขุนพันธ์ 1-3” มาแล้ว จำภาพจบของภาคสามได้ที่เราระเบิดภูเขาเผากระท่อมยิงมิสไซล์บาซูกาใส่กัน ภาคนี้เราจะรู้สึกว่ามันเหมือนมีซีนนั้นอยู่เรื่อยๆ ในเรื่อง มันมีแต่คำว่าใหญ่ แล้วก็ใหญ่กว่าเดิม ยิ่งฉากสุดท้ายมันเหนื่อยสุด ต้องห้ามพลาดจริงๆ ครับ
เป็นครั้งแรกที่ทำงานกับ “หลิน มชณต” เป็นยังไงบ้าง
ตัวละคร “รสริน” เขาเป็นดาราซูเปอร์สตาร์ในยุคนั้น และรสรินกับ “เสือดำ” ได้เจอกันในห้องน้ำ สำหรับบทนี้ของเสือดำกับรสรินมันมีความแปลกใหม่ครับ เสือดำเขาเคยเห็นรสรินแต่ในโปสเตอร์หนังรถแห่ พอมาเจอตัวจริงมันเหมือนเจอความศิวิไลซ์ ถ้าไม่มีรสรินก็จะไม่มีเสือดำในเวอร์ชันแบบนี้
“หลิน” เป็นคนที่เข้ามาเติมเต็มความสวยงามในเรื่อง เขาตั้งใจทำงานมาก เวลาที่เจอกับซีนที่มันยากสำหรับหลิน และต้องเจอกับพลังงานของทั้งสี่คน มันไม่ใช่เรื่องง่าย เขาต้องเจอกับสี่เสือคนละรูปแบบ เจอ “เสือฝ้าย” ด้วยความรู้สึกแบบหนึ่ง เจอ “เสือมเหศวร” ก็อีกแบบหนึ่ง ตัว “เสือใบ” ก็ใช้เสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป แต่ว่าตัวของน้องทำการบ้านมาอย่างดี บางทีเราก็ปรึกษากันว่าฉากนี้เราจะเล่นกันประมาณไหน หวังผลอะไร
ตอนเข้าซีนกับรสริน มันจะมีซีนหนึ่งที่เราไปตกกุ้ง มันฉีกออกจากกฎของเสือดำใน “ขุนพันธ์ 3” ถ้ารสรินเจอกับเสือดำในเวอร์ชันนั้นผมว่ารสรินอาจจะโดนหมกป่าครับ แต่เวอร์ชันนี้น้ำเสียงที่เลือกใช้กับรสรินเป็นคนละคน มีความพยายามที่จะทำเพื่อให้คนอื่นรัก มันก็เลยเป็นซีนที่ยากมากสำหรับผมที่เคยได้รับอิทธิพลของเสือดำในเวอร์ชันขุนพันธ์ไปแล้ว
การร่วมงานกับอีกสามเสือ
ตอนที่ทำ “ขุนพันธ์ 3” เราแทบไม่ได้เจอกันในการทำงาน เจอกันน้อยมาก แต่ภาคนี้เราเจอกันทุกรอบ รู้สึกว่าดีใจจังเลยได้ร่วมงานกันสักที เขามีความพยายามมาก ขอเทกแล้วเทกอีกจนกว่ามันจะได้ อย่าง “เป้” เขามีปืนที่เป็นกระสุนคต ระหว่างถ่ายทำมันไม่ได้เห็นกระสุนที่ปลิวออกไป เขาต้องใช้จินตนาการล้วนๆ
จนเหมือนเขาเห็นกระสุนคตของเขาวิ่งออกไปแล้วกลับเข้ามาหาเขาได้จริงๆ พวกเรามีซีนแอ็กชันกันเยอะ เป้เขาก็มีความทนมือทนไม้ดีมากด้วยความที่เขาก็เล่นกีฬาต่อสู้มาด้วย ยิ่งชำนาญ ยิ่งง่ายเลยครับ บางทีเรามีผิดคิวกันบ้าง หรือบางมุมผู้กำกับอยากให้มันโดนกันจริงๆ ถึงบางครั้งเราจะใส่เซฟตี้กันแล้ว แต่โดนก็คือต่อยถีบมาเข้าท้อง ทั้งเขาทั้งเราเจ็บกันเลยทั้งคู่ก็มีนะบางที เราก็จะคอยถามกันว่าจะมาแบบไหนยังไง เป้เขาก็จะบอกว่าโน่มาเลยไม่ต้องห่วง ยิ่งทำให้เรารักเขาที่เห็นเขาทุ่มเท
และในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง “เสือใบ” กับ “เสือดำ” ก็จะเป็นเหมือนคนละขั้ว เห็นความแตกต่างของคนเมืองกับคนชนบทเลย เหมือนคนใส่กางเกงมียี่ห้อ กับคนใส่อะไรก็ไม่รู้ เสือใบจะมีความสำอาง หล่อเฟี้ยวตลอดเวลา ในขณะที่เสือดำจะคลุกฝุ่น แต่ดันไปชอบผู้หญิงคนเดียวกัน มันก็จะมีความขิงๆ กันอยู่ตลอดเวลา แบบอย่าเผลอนะมึง รู้ละว่าเขาอาจจะชอบมึงแต่ขอกูได้ขวางหน่อย อยากเห็นความไม่สมหวังของมึงบ้าง เผื่อกูจะมีลุ้น จะเป็นเคมีที่สนุกมีงัดกันอยู่กันตลอดเวลา
กับ “โอ้” เรารักโอ้อยู่แล้วครับ ทั้งในฐานะของเพื่อนผองพี่น้อง แล้วก็เสือดำกับ “มเหศวร” ผมว่ามันมีความผูกพันอะไรกันบางอย่างที่แทบไม่ต้องพูดกันมาตั้งแต่ “ขุนพันธ์ 3” แล้วครับ มาภาคนี้มันเหมือนกับเสือดำกับเสือมเหศวรมันถูกชะตากัน ซึ่งบางทีมันก็มีที่ขัดกันบ้าง ต้องชนกันบ้าง เพราะโตมาไม่เหมือนกัน อย่างเสือดำชีวิตมันล้มลุกคลุกคลาน แต่เสือมเหศวรเติบโตมาจากครอบครัวมีอันจะกินมีความรู้ ถามอะไรมันก็ตอบได้ มันรอบรู้ไปหมด แต่กลับไม่รู้สึกว่าน่าหมันไส้ ไม่รู้ทำไมถึงไม่รู้สึกถึงความเป็นศัตรู สงสัยมันมีเมตตามหานิยมมั้ง โอ้มีความคล้ายเสือมเหศวรเหมือนกันนะ คือใครเห็นเสือมเหศวรก็เกลียดไม่ลงหรอกครับ
กับ “พี่เวียร์” นี่ถ้าพูดถึงนักแสดงที่มีความสามารถ พี่เวียร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น เราดีใจและยินดีต้อนรับเข้าสู่โลกของ “เสือ” โลกของ “ขุนพันธ์” ตอน “ผู้พันเบิร์ด” เล่น ผมว่าก็เป็น “เสือฝ้าย” ที่ดีที่สุดในเวอร์ชันของผู้พันเบิร์ด ส่วนพี่เวียร์ผมว่าก็ดีที่สุดในเวอร์ชันของพี่เวียร์ ที่พี่เวียร์ตีความการมาเป็นเสือฝ้ายเรารู้สึกประทับใจ ชื่นชมการทำสมาธิของเขา ความรับผิดชอบต่อบท การทำการบ้าน ทุกคนช่วยกันเพราะรู้ว่ามันเหนื่อย ไม่มีใครมาสาย ไม่มีใครจำบทไม่ได้ ไม่มีเลย มีแต่ช่วยกันเพราะว่าซีนมันยากครับ ยิ่งตอนสู้กันเราต้องซ้อมด้วยกันหลายรอบมาก ทุกคนก็ยินดีจะมาซ้อม ทั้งสามคนเข้าวงการมาก่อนผม กว่าผมจะได้มามีโอกาสเป็นนักแสดงเราเห็นพวกเขาในหนังสือพิมพ์ ในหนัง นิตยสาร ผมเป็นแฟนคลับพวกเขา มันเป็นความรู้สึกดีใจจังเลยที่ได้เจอพี่ๆ เพื่อนๆ แล้วเขาก็เก่งกันทุกคนเลยครับ เป็นความประทับใจมาก
เราจะพูดประโยคหนึ่งครับ จะชอบล้อพี่เป้ โอ้ พี่เวียร์ เวลาที่เราทำงานกันเหนื่อยมากๆ เวลาที่มันร้อนสุดๆ เรามาเติมเต็มความฝันวัยเด็กครับ พอพูดคำนี้แล้วทุกคนก็จะหัวเราะกัน ตอนเด็กพี่เคยเล่นฟันดาบแบบในหนังญี่ปุ่นไหม แต่กับการทำงานตอนนี้มันเหมือนจริง มีเอฟเฟกต์จริง มีระเบิดจริง มีไฟไหม้จริงๆ ชุดพร็อป จัดเต็มหนวดเครา มีม้า มีรถ มีปืน เรารู้สึกว่ามันมาเพื่อเติมเต็มความฝันวัยเด็ก เหมือนเราได้มาร่วมสนุกกันตรงนี้ แต่ว่ามันเป็นการเติมเต็มที่คุณจะไปแบบเบลอๆ ไม่ได้เพราะว่ามันเสี่ยง มันต้องคิว มันก็คือการทำงานแบบมืออาชีพ
การกลับมาร่วมงานกันกับ “พี่โขม” ครั้งนี้เป็นยังไงบ้าง
ผมรัก “พี่โขม” เพราะว่า เราคุยกันเยอะ แล้วเราก็ไม่ได้เห็นตรงกันไปซะทุกเรื่อง อย่าง “เสือ” เรื่องนี้ผมบอกผมขอถอนตัวนะครับ ส่งข้อความไปบอกพี่โขมว่าพี่โขมเปลี่ยน “เสือดำ” เหอะ สิ่งที่พี่โขมส่งกลับมาคือ “ถ้าเปลี่ยนเสือดำ เปลี่ยนกูด้วย” เรามีอะไรเราก็คุยกันตรงๆ เถียงกัน ไม่พอใจก็พูดมา ไม่ใช่ว่าไม่เคารพนะครับ แต่ถ้าผมมีความสงสัยแล้วผมไม่เคลียร์ ผมก็เล่นไม่ได้เหมือนกัน แล้วผมรักบทนี้ ดังนั้นอย่ามั่ว กูรักของกู แกก็สู้ในมุมของแกเหมือนกัน แล้วเราก็หาเหตุผลมาคุยกัน ตรงไปตรงมาดีครับ หายากที่ผู้กำกับจะเป็นแบบนี้
อย่างที่ผมเคยบอกไป เวลาที่เรากลับมาร่วมงานกัน มันไม่ได้กลับมาแค่พี่โขม ยังมีทีมงานในชุดปัจจุบันของ “พี่จ่อย” ของ “พี่น้อย” ของ “ผู้พันเบิร์ด” ของ “พี่เดี่ยว ชูพงษ์” พี่น้องเราทุกคน ทีมงานที่ทำต่อเนื่องกันมา ส่งต่อกันมาจนจบ “ขุนพันธ์ 3” จนมาถึง “เสือ” ผมว่ามันคือการต่อลมหายใจของหนัง ถ้ามันไม่ใช่พี่โขม ผมก็นึกไม่ออกว่าใครจะมาทำแบบนี้
ฝากผลงาน
คงมีไม่บ่อยนะครับที่จะมี “เสือฝ้าย”, “เสือใบ”, “เสือมเหศวร” และ “เสือดำ” มาอยู่รวมกัน สำหรับใครทีชื่นชอบผลงานสไตล์นี้ก็สามารถมาชมกันได้โดยที่ไม่ต้องไปย้อนดู “ขุนพันธ์” กันก็ดูรู้เรื่อง หรือ ใครอยากจะรู้ก่อนว่าแต่ละตัวมีที่มาที่ไปแบบไหนบ้างก็สามารถหาดูย้อนหลังได้ แต่สำหรับเรื่อง “เสือ” นี้ มันสนุกครบ โดยที่เรามาเริ่มต้นรู้จักกับทุกๆ ตัวละครไปพร้อมๆ กันได้ครับ ก็ฝากให้ทุกคนไปดูกันในโรงเยอะๆ พวกผมและทีมงานตั้งใจทำผลงานนี้กันมากๆ ครับ หวังว่าทุกคนจะรักและมีความสุขกับภาพยนตร์เรื่อง “เสือ” นะครับ
