สั่งคุมเข้มน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ลุยเก็บน้ำเต็มศักยภาพ

Screenshot
กรมชลฯ ลุยเก็บน้ำเต็มศักยภาพ คุมเข้มน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยา ลดผลกระทบด้านท้ายน้ำ
วันที่ 8 ก.ย.68 ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (SWOC) กรมชลประทาน เปิดเผยว่า จากการติดตามสภาพอากาศ พบว่าร่องมรสุมได้พาดผ่านหลายพื้นที่ของประเทศ ส่งผลให้มีฝนตกหนักถึงหนักมากเป็นแห่งๆ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และภาคตะวันออก ด้านพายุโซนร้อน “ตาปะฮ์” (TAPAH) กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่าจะไม่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อลักษณะอากาศของประเทศไทย

สำหรับปริมาณฝนตก 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา พบว่ามีปริมาณฝนสูงสุด 3 อันดับ ได้แก่
📍จังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ อ.บึงสามพัน วัดปริมาณฝนได้ 166 มิลลิเมตร (มม.)
📍จังหวัดอุบลราชธานี ที่ อ.วารินชำราบ วัดปริมาณฝนได้ 138.5 มม.
📍จังหวัดระยอง ที่ อ.บ้านค่าย วัดปริมาณฝนได้ 131.5 มม.
จากฝนที่ตกหนักสะสมในหลายพื้นที่ ส่งผลให้มีน้ำล้นตลิ่งบางแห่ง (เวลา 06.00 น.) ของลุ่มน้ำชี ลุ่มน้ำยม ลุ่มน้ำน่าน ลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลุ่มน้ำป่าสัก ลุ่มน้ำท่าจีน และพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก


สำหรับสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ ปัจจุบันมีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 56,280 ล้านลูกบาศก์เมตร (ล้าน ลบ.ม.) หรือคิดเป็นร้อยละ 74 ของความจุอ่างฯรวมกันทั้งหมด สามารถรองรับน้ำได้อีกกว่า 20,200 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะลุ่มน้ำเจ้าพระยา 4 เขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำรวมกันประมาณ 19,439 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 78 ของความจุอ่างฯ รวมกันทั้งหมด ยังสามารถรองรับน้ำได้อีกกว่า 5,400 ล้าน ลบ.ม.
ในส่วนของอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่มีปริมาณน้ำเกินเกณฑ์ควบคุม (Upper Rule Curve: URC) ซึ่งกรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้มีการติดตามและบริหารจัดการน้ำอย่างใกล้ชิด มีอยู่ 10 แห่ง ได้แก่ เขื่อนสิริกิติ์ จังหวัดอุตรดิตถ์, เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จังหวัดพิษณุโลก, เขื่อนแม่มอก จังหวัดลำปาง, เขื่อนห้วยหลวง จังหวัดอุดรธานี, เขื่อนน้ำอูน จังหวัดสกลนคร, เขื่อนน้ำพุง จังหวัดสกลนคร, เขื่อนจุฬาภรณ์ จังหวัดชัยภูมิ, เขื่อนอุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น, เขื่อนบางพระ จังหวัดชลบุรี และ เขื่อนนฤบดินทรจินดา จังหวัดปราจีนบุรี

ขณะเดียวกัน สถานการณ์ด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท (เมื่อเวลา 06.00 น.) พบว่าที่สถานี C.2 อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ มีน้ำไหลผ่าน 1,982 ลบ.ม. ต่อวินาที เมื่อรวมกับปริมาณน้ำจากแม่น้ำสะแกกรังและลำน้ำสาขา ส่งผลให้ปริมาณน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ กรมชลประทาน ได้ปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยาแบบขั้นบันได ในอัตราไม่เกิน 2,000 ลบ.ม. ต่อวินาที โดยมีการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความมั่นคงของเขื่อน และระบายน้ำอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมสอดคล้องกับปริมาณน้ำเหนือ เพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ท้ายน้ำให้มากที่สุด