ความร่วมมือ จุฬาฯ-Urban Renaissance Agency สร้างโมเดล ‘เมืองยืดหยุ่น’ รับวิกฤต-สังคมสูงวัย

จุฬาฯ ร่วมมือ Urban Renaissance Agency ญี่ปุ่น วางรากฐานการพัฒนา ‘เมืองยืดหยุ่น’ เพื่อสร้างเมืองที่พร้อมรับมือวิกฤตภูมิอากาศ รองรับสังคมสูงวัย และเติบโตอย่างยั่งยืน
ท่ามกลางปัญหามลพิษ ภัยพิบัติ น้ำท่วม การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และสังคมสูงวัย ส่งผลให้ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการพัฒนาเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงร่วมกับองค์การพัฒนาและฟื้นฟูเมือง (Urban Renaissance Agency: UR) ประเทศญี่ปุ่น จัดงาน “Urban Resilience Forum 2025” เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 ณ TRUE ICON HALL ไอคอนสยาม กรุงเทพมหานคร เพื่อสร้างเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ด้านการพัฒนาเมืองอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อขับเคลื่อนงานวิจัย การออกแบบ และการสร้างกลไกใหม่ ๆ ให้เมืองไทยสามารถเติบโตได้ท่ามกลางความท้าทายในอนาคต
การพัฒนาเมือง: ความท้าทายสำคัญของไทยที่ต้องเร่งหาคำตอบ
การพัฒนาเมืองถือเป็นความท้าทายสำคัญที่ประเทศไทยต้องเร่งหาคำตอบ ท่ามกลางโจทย์ซับซ้อนระดับโครงสร้าง ทั้งความเหลื่อมล้ำทางสังคม ภาวะโลกร้อน และการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมสูงวัย โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่การขยายตัวของเมืองอย่างไร้ทิศทางส่งผลให้เกิดปัญหาสะสม ทั้งการจราจร มลพิษ และความเสี่ยงน้ำท่วม
สถานการณ์ดังกล่าวผลักดันให้ประเทศไทยต้องแสวงหาแนวทางการพัฒนา ‘เมืองยืดหยุ่น (Resilient City)’ ซึ่งเป็นเมืองที่ไม่เพียงอยู่รอดจากวิกฤต แต่ยังปรับตัวและใช้ความเปลี่ยนแปลงเป็นโอกาสในการพัฒนาได้ แต่ด้วยความซับซ้อนของกระบวนการ กรณีศึกษาจากญี่ปุ่นจึงชี้ให้เห็นถึงความสำคัญขององค์กรกลางภาครัฐอย่าง ‘องค์การพัฒนาและฟื้นฟูเมือง (Urban Renaissance Agency; UR)’ ที่ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างนโยบายมหภาคกับการลงมือปฏิบัติในพื้นที่ ซึ่งเป็นกลไกหลักที่ช่วยขับเคลื่อนให้เมืองต่างๆ ในญี่ปุ่นเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน

นายอิชิดะ มาซารุ ผู้ว่าการ UR กล่าวถึงประสบการณ์ของ UR และความร่วมมือกับจุฬาฯ ว่า “UR มีประสบการณ์การพัฒนาเมืองในประเทศญี่ปุ่นมามากกว่า 500 โครงการ พัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับประชาชนมากกว่า 1.5 ล้านหน่วย รวมถึงการพัฒนา TOD (Transit Oriented Development) และการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติอย่างกว้างขวาง และนี่คือครั้งแรกที่เราร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างประเทศอย่างจุฬาฯ เรามุ่งหวังที่จะนำความรู้และบทเรียนจากญี่ปุ่นมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทย เพื่อช่วยสร้างเมืองที่ยืดหยุ่นและยั่งยืนสำหรับอนาคต”

ศ. ดร.วิเลิศ ภูริวัชร อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวถึงความสำคัญในการร่วมระหว่างจุฬาฯ กับ UR ในพิธีเปิดว่า “เมืองยืดหยุ่นไม่ได้หมายถึงแค่การอยู่รอดจากภัยพิบัติ แต่คือเมืองที่ทำให้ประชาชนอยู่ได้ดี มีคุณภาพชีวิต และแข่งขันได้ในระดับโลก ความร่วมมือครั้งนี้คือจุดเริ่มต้นสำคัญที่จะพัฒนาองค์ความรู้และเทคโนโลยีร่วมกันระหว่างไทยและญี่ปุ่น”
บทเรียนจากญี่ปุ่นสู่กรุงเทพฯ

รศ. ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งให้เกียรติร่วมกล่าวเปิดงานชี้ว่าเหตุแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ที่แรงสั่นสะเทือนถึงกรุงเทพฯ เป็น “สัญญาณเตือน” ว่าเมืองหลวงต้องยกระดับการเตรียมพร้อม“ความยืดหยุ่นของเมืองไม่ใช่แค่การฟื้นตัวหลังวิกฤติ แต่คือความสามารถในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงระยะยาว ทั้งโลกร้อน การขาดแคลนที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยา และสังคมสูงวัย การร่วมมือกับญี่ปุ่นที่มีประสบการณ์ยาวนานจะช่วยให้กรุงเทพฯ เดินหน้าได้อย่างมั่นคง”
ด้าน โมริ ทาดาฮิโกะ รองผู้อำนวยการ UR กล่าวเสริมว่า “จุดแข็งของ UR คือ การทำให้โครงการพัฒนาเมืองเกิดขึ้นได้จริง ผ่านการวางแผนเชิงกลยุทธ์เพื่อตอบโจทย์ทั้งนโยบายของรัฐ ความต้องการของภาคเอกชน และการสร้างประโยชน์ต่อสาธารณะ เราพัฒนาทั้งกระบวนทางกฎหมาย การออกแบบพื้นที่ โมเดลการลงทุน และการประสานความร่วมมือจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่หลากหลาย เราเชื่อว่าประสบการณ์เหล่านี้จะช่วยต่อยอดความร่วมมือกับประเทศไทยในการสร้างเมืองที่ยืดหยุ่นและยั่งยืน”
การพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อคนทั้งมวล TOD และ Digital Twin: เครื่องมือยกระดับเมืองในประเทศไทย
ผศ. ดร. ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย รองผู้อำนวยการศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการออกแบบเพื่อสังคม (Social Design Lab) และผู้ช่วยคณบดีคณะสถาปัตย์ จุฬาฯ อธิบายถึงความร่วมมือระหว่างขั้นแรกระหว่าง จุฬาฯ และ UR ว่า “เราได้รับการสนับสนุนทุนวิจัยจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ในการศึกษากลไกการพัฒนาเชิงพื้นที่เพื่อจำนวนที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาในพื้นที่ใจกลางเมืองต่างในแต่ละภูมิภาคของไทยทั้งในด้านการออกแบบ โมเดลการลงทุน และกระบวนการทางกฎหมาย เพื่อร่วมกับภาคีในการขับเคลื่อนให้เกิดการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต”
ผศ. สรายุทธ ทรัพย์สุข คณบดีคณะสถาปัตย์ จุฬาฯ กล่าวย้ำว่า กรุงเทพฯ และปริมณฑลเผชิญปัญหาการขยายตัวของเมืองที่รุกพื้นที่เกษตรกรรม เสี่ยงน้ำท่วม และสร้างภาระการเดินทาง จึงจำเป็นต้องเร่งพัฒนาย่านรอบระบบขนส่งมวลชน ตามแนวคิด Transit-Oriented Development หรือ TOD เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัย แหล่งงาน และบริการสาธารณะได้สะดวก “เราจะร่วมกับ UR ใช้เทคโนโลยี Digital Twin ในระบบ PLATEAU ภายใต้ความร่วมมือทางนวัตกรรมจากกระทรวง MLIT มาประยุกต์กับการพัฒนาพื้นที่ ‘สามย่าน–สวนหลวง–บรรทัดทอง’ ให้เป็นต้นแบบของพื้นที่เมืองยั่งยืนตามหลักการ TOD บนฐานข้อมูลดิจิทัล เพื่อขยายผลไปสู่พื้นที่อื่นๆ ทั้งในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะบูรณาการความรู้จากทั้งสองประเทศเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับทุกกลุ่ม รวมถึงย่านที่รองรับผู้สูงอายุ และการฟื้นฟูเมืองที่รักษาความหลากหลายทางสังคม”

ความร่วมมือเพื่ออนาคต
ภาพอนาคตของเมืองไทยที่ชัดเจนขึ้นจากการประชุมในครั้งนี้ คือฉันทามติร่วมกันจากทุกภาคส่วน ที่เห็นพ้องต้องกันว่า ‘ความยืดหยุ่นของเมือง’ เกิดขึ้นได้จากความร่วมมือที่ไร้พรมแดนเท่านั้น การจับมือระหว่างจุฬาฯ และ UR (ญี่ปุ่น) จึงเป็นมากกว่าเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการลงมือสร้างต้นแบบเมืองที่ยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง เพื่อเป็นแม่แบบในการพัฒนาเมืองอื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป ด้วยความคาดหวังสูงสุดที่จะเห็นเมืองไทยเป็นเมืองที่พร้อมรับมือทุกความท้าทาย เป็นเมืองที่ปลอดภัย สวยงาม และเปิดโอกาสให้ทุกคนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างเท่าเทียม