กรมหม่อนไหมพลิกโฉม! การฟักเทียมไข่ไหมด้วย “พลาสมาเย็น” ลดการใช้น้ำ-ลดสารเคมี-ปลอดภัย ตอบโจทย์สิ่งแวดล้อมยุคใหม่

Print

กรมหม่อนไหมพลิกโฉมการฟักเทียมไข่ไหมด้วย “พลาสมาเย็น” ลดการใช้น้ำ-ลดสารเคมี-ปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงานตอบโจทย์สิ่งแวดล้อมยุคใหม่

กรมหม่อนไหม ขับเคลื่อนการพัฒนาวิธีการฟักเทียมไข่ไหมชนิดฟักออกปีละ 2 ครั้ง (Bivoltine Silkworm Egg) ด้วยเทคโนโลยี “พลาสมาเย็น (Cold Plasma)” เพื่อทดแทนการใช้กรดไฮโดรคลอริกที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน แม้จะได้ผลดีแต่ส่งผลเสียต่อสุขภาพผู้ปฏิบัติงาน กระบวนการต้องใช้น้ำปริมาณมากเพื่อล้างไข่ไหม ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม 

ที่ผ่านมา กระบวนการฟักเทียมไข่ไหมด้วยกรดไฮโดรคลอริกต้องใช้น้ำสะอาดจำนวนมากล้างความเป็นกรดออกจากไข่ไหม รวมถึงต้องควบคุมความปลอดภัยจากไอระเหยของกรดที่อาจทำลายระบบทางเดินหายใจและกัดกร่อนอุปกรณ์ เมื่อพิจารณาควบคู่กับสถานการณ์โลกร้อนในปัจจุบัน ทำให้กรมหม่อนไหมเร่งพัฒนาแนวทางใหม่ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

โครงการการฟักเทียมไข่ไหมชนิดฟักออกปีละ 2 ครั้ง ด้วยพลาสมาเย็น เป็นโครงการวิจัยร่วมกันระหว่างกรมหม่อนไหมและ รศ.ดร.ศิวพล ศรีสนพันธุ์ อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่ได้มีการพัฒนาเครื่องสร้างพลาสมาแบบ Gliding Arc เพื่อใช้ในการฟักเทียมไข่ไหม โดยเริ่มดำเนินงานวิจัยในปีงบประมาณ 2568 ด้วยการสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) ดำเนินงานวิจัยที่ ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดนครราชสีมา ศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ จังหวัดขอนแก่น และภาควิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

พลาสมาเย็น ซึ่งเป็นพลังงานสะอาดและไม่ทิ้งสารเคมีตกค้าง จึงนำมาทดลองฟักเทียมไข่ไหมพันธุ์ J108 × นางลายสระบุรี ในรูปแบบ “ฟักทันที” (Sokushin) และ “ฟักหลังเก็บในห้องเย็น”(Reishin) เมื่อเปรียบเทียบผลการทดลองกับการใช้กรดไฮโดรคลอริก การทดลองเบื้องต้นพบว่า เปอร์เซ็นต์การฟักออกของไข่ไหมด้วยพลาสมาเย็นมีความใกล้เคียงกับการใช้กรดไฮโดรคลอริก และขณะนี้อยู่ระหว่างการที่พัฒนาเครื่องพลาสมาเย็นให้อยู่ในรูปแบบที่เหมาะสมกับการใช้งานจริงของการผลิตไข่ไหมในศูนย์หม่อนไหมเฉลิมพระเกียรติฯ

กรมหม่อนไหมเห็นว่า การใช้พลาสมาเย็นไม่เพียงช่วยลดการใช้น้ำและสารเคมีอันตราย แต่ยังลดพลังงานที่ต้องใช้ในระบบฟักเทียมไข่ไหมแบบเดิม ซึ่งเป็นแนวทางการผลิตไข่ไหมอย่างยั่งยืนในยุคที่ทั้งโลกต้องหันมาทบทวนวิถีการใช้ทรัพยากร”

ผลที่คาดว่าจะได้รับจากโครงการ ได้แก่

  • ด้านเศรษฐกิจ: ช่วยลดต้นทุนในกระบวนการฟักเทียมไข่ไหม ด้วยการลดการใช้สารเคมีและทรัพยากรน้ำที่มีค่า
  • ด้านสังคม: ผู้ปฏิบัติงานในกระบวนการฟักไข่ไหมมีความปลอดภัยมากขึ้นจากการลดการสัมผัสสารเคมีอันตราย
  • ด้านสิ่งแวดล้อม: การใช้พลาสมาเย็นซึ่งปราศจากสารพิษตกค้าง ช่วยลดการปนเปื้อนสู่ธรรมชาติ ตอบโจทย์แนวทางการผลิตไข่ไหมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นวัตกรรมนี้จึงไม่ใช่เพียงแค่ทางเลือกใหม่ แต่เป็นการสร้าง “มาตรฐานใหม่” ที่สอดคล้องกับแนวทางพัฒนาเกษตรกรรมสีเขียว (Green Agriculture) ของประเทศไทย ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และความยั่งยืนในทุกมิติ

About Author