“เจมส์-จิรายุ” พลิกบทบาทสุดขั้วเป็น “บาทหลวงปราบผี” ใน “ท่าแร่”

นักแสดงหนุ่มมากฝีมือที่เป็นที่รู้จักจากผลงานละครโด่งดังและโฆษณาโดดเด่นมากมาย รวมทั้งมีผลงานการแสดงภาพยนตร์ให้เป็นที่จดจำอย่างบทเด็กหนุ่มไร้เดียงสาในความรักที่ต้องการใช้ชีวิตนอกกรอบของครอบครัวใน “Timeline จดหมาย ความทรงจำ” (2557) และหนุ่มลูกครึ่งญี่ปุ่นผู้ออกตามหาชาติกำเนิดจนตกหลุมรักหญิงคณิกาใน “อโยธยา มหาละลวย” (2564)
ล่าสุด “เจมส์จิ” จะพลิกคาแร็กเตอร์สุดขั้วเป็น “บาทหลวงหนุ่ม” ผู้ต้องต่อกรและปราบปีศาจร้ายสุดสยองใน “ท่าแร่” (2568) ซึ่งถือเป็นการแสดงภาพยนตร์สยองขวัญเรื่องแรก งานนี้เขายังคงทุ่มเทอย่างเต็มที่ให้กับการแสดงที่เขารัก และเข้าถึงบทบาทด้วยความสามารถและเสน่ห์เฉพาะตัว โดยได้รับความรู้และคำแนะนำจากบาทหลวงตัวจริง รวมถึงหนังเรื่องนี้ก็ยังเปิดโลกความเชื่อและความศรัทธาที่แตกต่างให้กับเขาอีกด้วย
จุดเริ่มต้นของการร่วมงานในโปรเจกต์นี้
เริ่มเลยคือทาง “สหมงคลฟิล์มฯ” ติดต่อมา บอกว่าเป็นหนังผี ซึ่งโดยส่วนตัวผมเป็นคนที่กลัวการตกใจ พวกจัมป์สแกร์ ไม่เคยยุ่งเกี่ยวอะไรกับงานหนังสยองขวัญเลย ดูหนังผีมาน้อยมาก แต่เซอร์ไพรส์กว่านั้นก็คือต้องรับบทเป็น “บาทหลวง” ต้องไปปราบผี ยังไงนะครับ ปราบอะไรนะครับ ด้วยตอนนั้นยอมรับเลยว่าไม่ถนัดที่จะดูหนังผี ในหัวมีคำถามเยอะเลยครับ
รู้แต่ว่าหนังผีชื่อเรื่อง “ท่าแร่” และท่าแร่อยู่จังหวัดสกลนคร นึกภาพเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ผมก็ไปอ่านทรีตเมนต์ ดูเรื่องราวต่าง ๆ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง พออ่านไปเรื่อย ๆ มันน่าสนใจมาก ส่วนตัวผมไม่ได้รู้จักท่าแร่ ไม่เคยรู้ว่าที่นี่มีชุมชนชาวคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีการผสมผสานระหว่างความเชื่อทางพื้นบ้าน แล้วก็มีความเชื่อของทางศาสนาคริสต์ด้วย

ผมก็ไปนั่งไล่ดูหนังอะไรบ้างที่มีบาทหลวงปราบผี ผมก็ไปเจอ “Constantine” (2005) ปราบผีโหดมาก แล้วก็ไปฟังสัมภาษณ์ของ “พี่คุ้ย” (ผู้กำกับ) ที่พูดถึงหนังของเขาก็รู้สึกว่าพี่คุ้ยจะชอบทำหนังแนวน่ากลัว มีแอ็กชันด้วย มันก็น่าจะมันส์ดีนะ และ “ท่าแร่” ด้วยบทมันมีความใหม่หลาย ๆ อย่าง การผสมผสานของความเชื่อ วัฒนธรรม และก็ไม่ใช่การปราบผีแบบหนังผีของไทยที่เราเคยเห็น แต่เป็นบาทหลวงจากศาสนาคริสต์ที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ก็รู้สึกว่ามันน่าสนุกดีครับ
พอเริ่มไปรู้จัก “ท่าแร่” แล้วเป็นยังไงบ้าง
มันว้าวเลยนะครับ อย่างโบสถ์เราเคยเห็นแล้วละ ที่ไหนก็มี แต่ตอนที่ผมเดินเข้าไปในชุมชนมันจะเป็นความมิกซ์คัลเจอร์แบบสุด ๆ เลย คือตั้งแต่สถาปัตยกรรม บ้านเรือนที่เป็นแบบตะวันตก อยู่สลับกับบ้านไม้แบบไทยที่พื้นบ้านยกสูง คือเดิน ๆ อยู่จะมี ยุโรป ไทย ยุโรป ไทย คั่นกันไปมาตลอด แปลกตาดีมากเลยครับ และการใช้ชีวิตตรงนั้นคือมีโบสถ์อยู่กลางชุมชน แต่ก็ยังมีความเชื่อพื้นถิ่นปะปนอยู่ การวางผังเมืองที่นี่ก็เป็นแบบตะวันตก เดินผ่านทะลุถึงกันได้หมดและค่อนข้างเป็นระเบียบ
และผมก็เพิ่งรู้ว่าที่นี่มีการจัด “งานแห่ดาว” เป็นงานคริสต์มาสที่ยิ่งใหญ่มาก ทุกคนในชุมชนเหมือนจะตั้งใจรองานนี้กัน เป็นงานสำคัญมากสำหรับชุมชน เขาจะพร้อมใจกับตกแต่งบ้านเรือนให้เป็นงานคริสต์มาส ถึงบ้านจะทรงไทย ๆ ดูยังไงก็บ้านคนไทย แต่มีความคริสต์มาสจิงเกิลเบลส์ เปิดไฟ ประดับดาว ซานตาคลอส ไม้กางเขน มีขบวนรถแห่ดาวที่ประดับไฟ ปิดถนนเพื่อทำกิจกรรมของชาวคริสต์กันจริงจังเลย สวยงามมากครับ
“ท่าแร่” เป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร

“ท่าแร่” เป็นภาพยนตร์ที่เล่าถึงชีวิตของบาทหลวงคนหนึ่งที่แอบไปปราบปีศาจ แต่ว่าเกิดความผิดพลาดจนตัวเองถูกเข้าสิงทำให้ชีวิตเขาแย่ลง ซึ่งความเสียหายนี้มันก็เริ่มกระจายไปตั้งแต่ในครอบครัวของเขาเองไปจนถึงชุมชนตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน ทางกรุงเทพฯ ก็เลยต้องส่งบาทหลวงที่เป็นนักปราบผีจริง ๆ อย่าง “เปาโล” ที่ผมแสดงเข้ามาจัดการกับสถานการณ์ที่ท่าแร่ แล้วเขาก็มาตกอยู่ในความสยองที่ค่อนข้างซับซ้อนมากกับการปราบปีศาจในครั้งนี้ ในขณะเดียวกันที่ท่าแร่ สกลนคร ก็มีความเชื่ออีกอย่างหนึ่งที่เป็นเรื่องของการนับถือผี เปาโลก็เลยได้มาเจอกับ “หมอเหยา” ที่เข้ามาทำพิธีไล่ผีในแบบพื้นถิ่น ความวุ่นวายและความสยองมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ทั้งคู่ก็ต้องหาทางที่จะแก้ไขสถานการณ์ที่ท่าแร่ให้เป็นปกติที่สุด

บทบาทคาแร็กเตอร์ในเรื่องนี้เป็นอย่างไร
ผมรับบทเป็น “เปาโล” ครับ เป็นบาทหลวงอยู่ที่ได้รับอนุญาตให้สามารถปราบปีศาจได้ ปกติเปาโลจะเป็นบาทหลวงอยู่ที่กรุงเทพฯ พอมีเหตุการณ์ที่ “ท่าแร่” ทางกรุงเทพฯ ก็ส่งเปาโลไปช่วยที่ท่าแร่
ผมว่าเปาโลเป็นคนที่ค่อนข้างจริงจังพอสมควร ด้วยตัวบทของศาสนา ด้วยตัวของเขาเองด้วย เป็นคนที่มุ่งมั่น พอทำอะไรก็ตั้งใจไปหมด เป็นคนช่างสังเกต มีไหวพริบ แล้วเขาก็พยายามศึกษาอย่างเต็มที่ในด้านที่ได้รับมอบหมาย ภาพภายนอกเลยเป็นคนนิ่ง ๆ หน่อย
ในภาพรวมตอนแรกผมตีกับตัวเองพอสมควรว่าเราจะเล่นอะไรได้บ้าง เกี่ยวกับท่าทางหรือการวางตัว ทางด้านของศาสนาเองผมก็ไม่ได้คุ้นชิน พยายามหาดูลักษณะของบาทหลวงแต่ละท่านจากของจริง แต่คาแร็กเตอร์มีความหลากหลายมาก รวม ๆ คือสุภาพ สุขุม ยิ้มแย้ม ใจดี รวมไปถึงการแต่งกาย ต้องแต่งแบบไหน ตอนทำพิธีต้องใส่อะไร มันต้องเริ่มรีเซิร์ชจากศูนย์หมดเลย

ผมโชคดีที่ได้มีโอกาสเวิร์กชอปกับ “คุณพ่ออนุชา ไชยเดช” ท่านมีเมตตามาก ก็ถามท่านเกี่ยวกับเรื่องท่าทางการหยิบจับอุปกรณ์ในพิธีกรรมแบบคริสต์ต้องถือยังไง ทำยังไง ในการประกอบพิธีต้องมีแท่นบูชา เอาแบบที่จริงจังเลยก็ต้องมีโต๊ะ ผ้าปูโต๊ะ การวางเทียน คัมภีร์ ไม้กางเขน น้ำเสก แล้วการสวดนี่แหละครับที่สำคัญ บทสวดต่าง ๆ เพราะในการปราบปีศาจหัวใจหลัก ๆ คือคำสอน บทสวดที่เราต้องท่องไปเรื่อย ๆ แอดวานซ์ขึ้นไปอีก จะต้องมีเกลือล้อมเป็นเขตศักดิ์สิทธ์ด้วย แต่ละอย่างก็จะมีกฎระเบียบหรือแบบแผนของทางนี้อยู่ คุณพ่อก็ช่วยดูความถูกต้องต่าง ๆ และให้คำแนะนำตลอด มีเมตตามากครับ
คุณพ่อบอกว่าเวลาจับยังไงก็ได้ แต่ต้องจับด้วยความมั่นใจ เหมือนคุ้นชินกับสิ่งของของเรา และต้องเชื่อมั่นในศรัทธา ต้องมั่นใจในสิ่งที่เราสวด สิ่งที่เราทำ พอได้แกนของอารมณ์หลักแล้วก็ค่อย ๆ พัฒนา
คาแร็กเตอร์ภายนอกขึ้นมาอีกทีหนึ่ง ทุกอย่างที่ออกมาทั้งทีมงานและตัวผมก็ศึกษารีเซิร์ชมาพอสมควร เพราะผมก็พยายามทำให้เกิดความถูกต้องสมจริงที่สุดเลยครับสำหรับเรื่องนี้
และก็ได้ทราบข้อเท็จจริงด้วยว่าบาทหลวงที่จะทำหน้าที่ปราบปีศาจได้จะต้องไปศึกษาและเรียนจริงจังมาก กว่าจะได้รับอนุญาตในการทำหน้าที่นี้ แล้วในไทยก็มีบาทหลวงที่ทำหน้าที่ปราบได้ไม่กี่คน มีการประกาศแต่งตั้งเป็นทางการเลยครับ เซอร์ไพรส์มาก ไม่เคยรู้ข้อมูลตรงนี้มาก่อนเลยครับ

การร่วมงานกับ “มีน พีรวิชญ์” ที่รับบทเป็นหมอเหยา “แม่เมืองโสภา”
ด้วยคาแร็กเตอร์ที่ “มีน” ได้รับคือ “แม่เมืองโสภา” หรือ “หมอเหยา” ซึ่งผมไม่รู้จักมาก่อนเลย รู้คร่าว ๆ ว่าหมอเหยาเป็นเหมือนผู้รักษาทางด้านจิตใจให้กับชาวบ้าน ก็ยังนึกภาพไม่ออกว่าจะเป็นแบบไหน มาได้รู้ได้เห็นก็ตอนที่มีนมารับบทนี้ เราก็มีการพูดคุยกับมาตั้งแต่ช่วงที่ได้อ่านบท แต่พอได้เห็นในวันที่ถ่ายทำกันจริง ๆ สนุกมากครับ ด้วยคาแร็กเตอร์ของตัวผมเป็นบาทหลวงที่ไม่ได้คุ้ยเคยกับที่ “ท่าแร่” แต่ในขณะเดียวกันมีนที่เป็นหมอเหยาจะเข้าใจบริบทในสิ่งที่เกิดขึ้นที่ท่าแร่ชัดเจนกว่า หมอเหยาก็จะทำทุกอย่างเต็มที่ในที่ของเขา ฉะนั้นมีนจะเป็นตัวละครที่มีสีสัน ด้วยอาชีพ การแต่งตัว การขับร้อง เครื่องพิธี จัดเต็มมาก สนุกมาก เขาตั้งใจซ้อมทุกอย่าง หลายทักษะที่ใหม่สำหรับเขา เรื่องภาษาภูไท (ผู้ไท) ก็ยากมาก
เขาทุ่มเทกับการทำการบ้านมาก แล้วมีนเขาถ่ายทอดออกมาได้น่ารัก ตอนที่ได้เห็นเซอร์ไพรส์กับคาแร็กเตอร์เขาและสิ่งที่เขาถ่ายทอดออกมา อยากให้ทุกคนได้เห็น เขาแยกคาแร็กเตอร์ตอนที่เป็นหมอเหยากับตอนที่เป็นคนปกติได้ชัดเจน พอเล่นด้วยกันมันก็ลื่นไหลครับ มีนเขาเป็นคนเฮฮา มีความตลกพอ ๆ กัน พอเราเข้าฉากเราก็จะปรึกษากัน โอเค อยากจะไปเวย์ไหน จะทำอะไรบ้าง
การร่วมงานกับ “แพรวา ณิชาภัทร” ที่รับบทเป็น “มาลี”
“แพรวา” เป็นคนที่ตั้งใจทำงานมากเลยครับ ตัวจริงเขาเป็นคนเฮฮานะ แต่ส่วนใหญ่เขาจะค่อนข้างจริงจังกับการทำสมาธิกับตัวละครนั้น บางจังหวะที่นอกซีน ผมเห็นแล้วละว่าบางทีเขาก็อยากจะหันมาเล่นบ้าง แต่เขาต้องพยายามทำสมาธิ เพราะว่าในคาแร็กเตอร์ของ “มาลี” มันก็มีอะไรที่ค่อนข้างซับซ้อน แล้วเขาก็ต้องเล่นในมุมของเขาให้ออกมาชัดเจนที่สุดเลย ก่อนเข้าฉากเขาจะไปนั่งทำอารมณ์คนเดียว พอเข้าฉากเขาก็จะเป็นตัวละครตัวนั้นเลย
ผมก็ชอบไปแหย่เขานะ บางทีก็ส่งมุกตลก ๆ ให้เล่นต่อ แต่แพรวาไม่เล่นต่อ เขาบอกว่าจริง ๆ ก็อยากเล่นด้วยนะ แต่ถ้าเขาเล่นไปเรื่อยเขาจะช็อร์ตไปเลย เลยไม่กล้าเล่นต่อด้วย ก็เห็นในความตั้งใจทำงานของ
เขามาตลอด ในส่วนของตัวมาลี แพรวาก็ถ่ายทอดออกมาได้ลึก มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่ถ่ายทอดออกมาได้ชัดเจนทั้งสายตาและน้ำเสียง
การทำงานร่วมกับ “พี่เอก ธเนศ” ผู้รับบทเป็น “ตามิ่ง”
ผมติดตาม “พี่เอก ธเนศ” ได้ดูผลงานของพี่เอกมาตลอดเลย เขาเล่นบทที่ลึกและเข้มข้นมาก ๆ มาทั้งนั้น แล้วพอมาเจอกันตั้งแต่วัน “รีดทรู” (Read-through) ก็รู้ว่าพี่เอกคือพยายามทำความเข้าใจแล้วก็ดีไซน์ตัวละครออกมาให้ตรงกับที่ “พี่คุ้ย” ผู้กำกับต้องการ ถือว่าแกเป็นคนที่สุดยอดคนหนึ่งในด้านการแสดงเลยครับ
ด้วยบทของ “ตามิ่ง” จะเป็นบทที่ปล่อยพลังงานตลอดเวลา เดี๋ยวป่วยนอนหมดแรง เดี๋ยวมีแรงมีกำลัง MVP ไม่แพ้คาแร็กเตอร์ไหนเลยครับ ก่อนที่จะเข้าฉากด้วยกัน ผมอ่านบทแล้วก็เห็นว่าโห…บทของพี่เอกนี่โหดมาก ไหนจะต้องมีสลิง มีกระโดด วันที่เจอกันตอนวันฟิตติงผมก็ถามพี่เอกว่าต้องเล่นขนาดนี้เลยจะทำยังไง พอมาวันที่เข้าฉากกันจริงจังพี่เอกเหมือนวัยรุ่นคนหนึ่ง ทั้งสลิงและการแสดงที่ต้องใช้สเปเชียลเอฟเฟกต์ไม่สามารถเป็นอุปสรรคได้เลย ผมคิดในใจไม่คิดว่าพี่เอกจะเล่นได้ขนาดนี้เลย ยอมใจมาก สุดจริงในเรื่องของสปิริตการแสดง พี่เอกทำการบ้านตลอดเวลาและก็เปิดรับอะไรใหม่ ๆ เสมอ ตอนแรกเข้าใจว่าพี่เอกจะต้องคุยด้วยยากแน่ ๆ เพราะเขารุ่นใหญ่ แต่เปล่าเลย พี่เอกเหมือนวัยเดียวกันที่เข้าใจพวกเรา รับฟัง พูดคุย ผมเคารพมากเลยครับเจอแบบนี้

ทำงานร่วมกับ “พี่คุ้ย ทวีวัฒน์” (ผู้กำกับ) ครั้งแรกเป็นยังไงบ้าง
ผมเคยฟังสัมภาษณ์ “พี่คุ้ย” ครั้งหนึ่ง จำรายการไม่ได้ละฮะ พี่เขาก็เล่าว่าทำงานเป็นผู้กำกับทั้งภาพยนตร์ ละคร และซีรีส์ ภาพตอนนั้นเราคิดว่าพี่คุ้ยแกน่าจะเป็นคนเก่งที่แนว ๆ ติสต์ ๆ คนหนึ่ง แต่พอมาเจอตัวจริงตลกทุกวินาทีที่มีโอกาสเลย ขนาดกำลังบรีฟซีนที่กำลังซีเรียส ๆ ก็เล่นมุกตลกมาเฉย ชอบแหย่ ชอบเหย้า เวลาที่แกนั่งอยู่หน้ามอนิเตอร์ พี่คุ้ยแกก็จะวาดภาพ อยากได้แบบนี้ ภาพแบบนี้ เขาเป็นคนที่มีภาพที่อยากได้ค่อนข้างชัดเจน ทำให้การทำงานออกมาตรงเวลาพอควร เขาจะรู้ละว่าซีนนี้ต้องการอะไร แล้วต่อไปเอาแค่ไหนพอ
ทั้งตัวผู้กำกับและนักแสดงในเรื่องนี้รวม ๆ แล้วคือเราทำงานกันค่อนข้างสนุกสนานเฮฮา พอพี่คุ้ยเฮฮาบรรยากาศในกองมันก็ไม่เครียด แต่หนังซีเรียสมากนะครับ แต่ละซีนโหด ๆ ทุกคนเลย แต่มุกแพรวพราวกันหมดทั้งกอง พี่คุ้ยตัวดีเลย เป็นคนเริ่มเลยครับ
ฝากผลงานหน่อย
ฝากด้วยนะครับกับภาพยนตร์ “ท่าแร่” กับอีกบทบาทของผมที่ไม่เคยคิดมาก่อนเหมือนกันว่าจะมีโอกาสได้รับเล่นกับการเป็น “บาทหลวง” รับหน้าที่มาปราบปีศาจ ผมว่ามันก็เป็นงานที่หนักมาก ๆ นะครับ สำหรับทีมงานและทุกคนที่พยายามจะหาข้อมูลมาทำเพื่อให้สิ่งที่เกิดขึ้นมันสมจริงมากที่สุด เพื่อมานำเสนอกับทุก ๆ คน ก็ฝากติดตามและหวังว่าทุกคนจะชอบเรื่องนี้ครับ “ท่าแร่” 7 สิงหาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์