เพราะอะไรเด็ก Gen Z ถึงหางานได้ยากกว่าเดิม สมัครไปไม่มีใครรับ!?

เด็ก Gen Z (เกิดประมาณปี 1997–2012) หลายคนกำลังเผชิญความยากลำบากในการหางาน แม้จะมีวุฒิการศึกษา ความสามารถด้านเทคโนโลยี และความคิดสร้างสรรค์สูงก็ตาม — แต่ทำไมถึงยังหางานยากขึ้น? นี่คือเหตุผลหลัก:
1. ตลาดงานเปลี่ยนเร็วเกินไป
- งานหลายประเภท ถูกแทนที่ด้วย AI หรือระบบอัตโนมัติ
- ความต้องการแรงงานในบางสายอาชีพลดลง เช่น งานซ้ำ ๆ งานพนักงานบริการบางประเภท
- บริษัทต้องการ “คนที่พร้อมใช้” มากกว่า “คนที่ต้องเทรน”
ผล: เด็กจบใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์จึงถูกมองว่า “ยังไม่พร้อม”
2. ช่องว่างระหว่าง “ทักษะที่เรียน” กับ “ทักษะที่ตลาดต้องการ”
- หลักสูตรการศึกษาบางแห่ง ไม่อัปเดต ทักษะให้ทันยุค
- บริษัทมองหา soft skills เช่น การสื่อสาร การทำงานเป็นทีม ความยืดหยุ่น – ซึ่งบางคนยังขาด
งานวิจัยจาก LinkedIn ระบุว่า “soft skills” สำคัญพอ ๆ กับ “hard skills”
แต่ Gen Z มักถูกมองว่ายังไม่พัฒนาเต็มที่ในด้านนี้
3. แข่งขันกับแรงงานทุกเจน + แรงงานทั่วโลก
- คน Gen Z ต้องแข่งกับทั้ง Gen Y, Gen X ที่มีประสบการณ์มากกว่า
- การทำงานแบบ remote ทำให้บริษัทจ้างคนจากประเทศอื่นได้ง่ายขึ้น
ผล: ตำแหน่งงานที่เคยสงวนให้ “เด็กจบใหม่” ตอนนี้อาจไปอยู่กับฟรีแลนซ์ต่างชาติหรือ AI แทน
4. ภาพลักษณ์และทัศนคติถูกมองในแง่ลบ
- Gen Z มักถูกเหมารวมว่า “เลือกงาน”, “อยาก work-life balance เกินไป”, หรือ “ไม่อดทน”
- บางบริษัทยังไม่เข้าใจวิธีจัดการคนรุ่นนี้ จึงลังเลที่จะรับ
ทั้งที่ในความเป็นจริง Gen Z จำนวนมากตั้งใจทำงาน มีแรงบันดาลใจ และอยากเรียนรู้
5. เศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน
- ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว / บริษัทปรับลดพนักงาน / แช่แข็งตำแหน่งใหม่
- โดยเฉพาะหลัง COVID-19 และช่วงเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี
📌 ส่งผลให้บริษัท “รับน้อยลง” และเลือก “คนที่ประสบการณ์สูงกว่า”
🧭 แล้ว Gen Z ควรทำอย่างไร?
✅ อัปสกิลอย่างต่อเนื่อง
- เรียนรู้ทักษะที่ตลาดต้องการ เช่น AI tools, การสื่อสาร, ภาษาที่สอง, การวิเคราะห์ข้อมูล
✅ สร้างพอร์ตของตัวเอง
- อย่าแค่รอสมัครงาน — สร้างโปรเจกต์ส่วนตัว, พอร์ตออนไลน์, เขียนบทความ, ทำคลิป
✅ ปรับ mindset
- เปิดรับงานเริ่มต้นเล็ก ๆ เพื่อเก็บประสบการณ์ก่อน เช่น ฝึกงาน, freelance, งาน part-time
✅ ใช้โซเชียลอย่างมืออาชีพ
- LinkedIn, Twitter, หรือ TikTok สามารถใช้สร้าง Personal Brand และหาโอกาสได้ดีมาก