“มิว ศุภศิษฎ์” เปิดใจโต้ข่าวลือคู่เลิก ลั่นสร้างเรือนหอ 2 หลัง งบ 100 ล้าน??

มิว ศุภศิษฏ์ คุยแซ่บ ปก

เปิดใจที่แรก “มิว ศุภศิษฎ์” หลังจู่ ๆ ตาซ้ายดับวูบกะทันหัน จนเจ้าตัวคิดว่าตาบอดแล้ว พร้อมเผยสาเหตุเลื่อนงานแต่ง “ตุลย์ภากร” ออกไป จนถูกลือว่าเลิกกันแล้ว ขอย้อนเล่าเรื่องราวไปปฏิบัติธรรมข้างโลงศพ เจอเหตุการณ์ขนหัวลุก ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ช่อง One31 ที่มี “เป็กกี้ ศรีธัญญา” และ “เอส กันตพงศ์” เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

จู่ ๆ ตาซ้ายดับวูบไปเลยเกิดอะไรขึ้น?

“ตอนนั้นประมาณ 4-5 ทุ่มแล้วครับ ก็นั่งเล่นมือถือบนเตียง ไถฟีดปกติ อยู่ ๆ ก็ฟื๊บ ข้างซ้ายมองไม่เห็น มีฝ้าดำๆ เหมือนเวลาเราจ้องพระอาทิตย์นาน ๆ ตอนแรกคิดว่าหรือเราจะหน้ามืด ก็นอน ลืมตามาใหม่ก็ยังดำอยู่ ตอนนั้นผมตกใจมาก ก็เสิร์จดูว่าอยู่ ๆ ตาดำเป็นยังไงบ้าง ก็แชตจีบีที ก็มีบอกว่าอาจมีอาการทางสมอง ทำให้ตาบอดถาวรได้ ก็ฉิxหายแล้ว ผมรอประมาณชม.นึงก็มีฝ้าดำ ๆ ขึ้นอยู่ ตอนนั้นไม่รู้ทำยังไงดี ทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็คิดว่าเผื่อพักผ่อนนอนหลับตื่นมาแล้วตาจะปกติ ก็เลยนอนไป”

วินาทีดับแล้วแชตจีบีทีแบบนั้น จิตตกไปถึงไหน?

“ถ้าเป็นอาการทางสมอง เช่นอาการทางประสาท ก็ทำให้ตาบอดได้จริง ๆ ตอนนั้นตกใจมาก อยู่กับตุลย์ด้วย ช่วงนี้ทำธุรกิจคลินิก มีหมอที่รู้จักกัน โทรหาใครก็ไม่รับ (หัวเราะ) ตอนนั้นตุลย์ก็คุยว่าจะไปหาหมอตอนนั้นเลยดีมั้ย แต่คิดว่าหมอเฉพาะทางก็ไม่ได้เจออยู่ดี ก็ทำใจนอนดีกว่า ตุลย์ก็ปลอบว่าไม่เป็นไร”

เกี่ยวกับใช้มือถือเยอะด้วยมั้ย?

“คิดว่าน่าจะเกี่ยว แต่หลัก ๆ เราเหมือนนั่งวิเคราะห์ดู เอ็มวีตัวใหม่ที่ไปถ่ายมา จะมีซีนนึงที่เหมือนโปรเจกเตอร์ฉายมาที่หน้าเรา ซีนนึงน่าจะประมาณ 3-4 นาที มันยิงเข้าตาค้างไว้เลย ก็เลยคิดว่าอาจเป็นเหตุผล”

ไปหาคุณหมอตอนเช้า หมอให้ทำอะไรบ้าง?

“ไม่มียาอะไรที่สามารถช่วยได้เลยครับ หลัก ๆ คือยาช่วยกันตาแห้ง น้ำตาเทียมปกติ แล้วต้องงดจ้องไปในแสง ช่วงวีคแรกใส่แว่นกันแดดตลอดเวลา สภาพน่าเกลียดมาก เวลาจะนอนใส่แว่นกันแดดนั่งเล่นมือถือ (หัวเราะ) ไถฟีดนิดนึงก่อนนอน เท่เลย (หัวเราะ) แต่ใส่ชุดนอน”

หมอวิเคราะห์ว่าเราเป็นอะไร?

“จอรับแสงอักเสบครับ อย่างน้อย 3-6 เดือน ต้องรอดูไปเรื่อย ๆ แต่ปัจจุบันบางทีเผลอเหมือนกัน ลืมใส่แว่นแล้วเล่นมือถือ ไม่เกิน 30 วิ มันจะมึน ๆ แล้วขึ้นฝ้าดำ ๆ ขึ้นมา หมอบอกว่าอยู่ที่ช่วงนี้ก่อนถึง 3-6 เดือน จะดูแลตัวเองได้ดีขนาดไหน ก็พยายามไม่ลืมใส่แว่น หลัก ๆ ถ้าไปทำงาน บางทีมีแสงแฟรชเข้ามาหรือมีดวงไฟใหญ่ ๆ เรามองเลี่ยงแฟรชก็โอเคมาก ๆ แล้วครับ”

มีผลกระทบกับงานมั้ย?

“ช่วงนี้ยังดีที่ผมทำงานฟีลแฟชั่นเยอะ เปลี่ยนลุค ใส่แว่นกรองแสง ใส่แว่นกันแดด ก็ได้ลุคใหม่”

เพลง LUCKY TO HAVE YOU จุดเริ่มต้นคืออะไร ทำไมหวาน?

“ย้อนไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ผมทำเพลงนึงขึ้นมาว่าโชคดีแค่ไหนที่มีเธอ เป็นภาษาไทย เล่นแค่ครั้งเดียว แล้วไม่เคยเอามาใช้อีกเลย ก็คิดว่าถึงเวลาที่เราจะเอาเพลงนี้กลับมา เหมือนช่วงที่ผ่านมา ได้มีโอกาสได้ย้อนนึกถึงตัวเองเยอะเหมือนกันครับ เรารู้สึกว่าผมไม่ชอบคำว่าโชคดีจังเลย บางคนชอบใช้คำว่าโชคดีจังเลยที่มีแฟนคลับ โชคดีจังเลยที่เรียนเก่ง โชคดีจังเลยที่มีโน่น มีนั่น แต่ผมว่าเป็นความพยายามของเราที่มาถึงตรงนี้ มันไม่ใช่ความโชคดีนะ แต่เราสู้มาด้วยตัวเอง ความโชคดีบางทีมีบางอย่างที่ต้องโชคดีจริง ๆ เช่นเรามีครอบครัวที่ดี เพราะเราเป็นเบบี๋เราเลือกเกิดไม่ได้ เราเลือกพ่อแม่ไม่ได้ พอมีพ่อแม่แบบนี้ เราเลยรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้คือความโชคดีนะ เราเกิดมาในครอบครัวที่อบอุ่นมาก ๆ ครอบครัวที่พร้อมให้ความรักเรา เพลงนี้มีความหมายถึงการที่เรามีอะไรบางอย่างอยู่รอบตัวเรา แล้วเราโชคดีมาก ๆ ที่มีสิ่งนั้นอยู่ ทำให้เราใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขมาก ๆ”

หนึ่งสัปดาห์แล้วที่ปล่อยเพลงนี้ออกมา กระแสตอบรับเป็นยังไง?

“ดีมาก ๆ เลยครับ เพราะเป็นการหยิบเพลงที่มีความหมายมาก ๆ ณ เวลานั้นมาทำใหม่ในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ ฝั่งอินเตอร์แฟนก็สามารถเข้าใจได้มากขึ้น ผมก็รู้สึกว่ากระแสดีมาก ๆ”

ตั้งใจแต่งให้ใคร?

“ตอนปล่อยเพลง เพลงถูกปล่อยตอนเที่ยงคืน เอ็มวีถูกปล่อยหลังจากนั้นประมาณ 4-5 โมงเย็น ตอนนั้นอยู่กับตุลย์ด้วย เขาก็ถามว่าแต่งให้ใคร (หัวเราะ) มันเป็นเพลงรักปุ๊บเขาก็ถามว่าแต่งให้ใคร ของตุลย์ผมแต่งให้เรียบร้อยแล้วก่อนหน้า เป็นเพลงที่ใช้ขอแต่งงาน แต่เพลงนี้ เมื่อ 5 ปีที่แล้วเราแต่งขึ้นมาเพื่อตอบแทนแฟน ๆ ที่คอยซัปพอร์ตเรา ก็เลยบอกเขาว่าแต่งให้แฟนคลับครับ แล้วก็แต่งให้แฟนครับด้วย (หัวเราะ) เขาก็ถามว่าแต่งให้จริงหรือเปล่า เราก็แต่งให้ทุกคนแหละ เหมือนกับว่าเราโชคดีที่มีเขาอยู่ตรงนี้ ครอบครัวด้วย”

คบมานานแค่ไหนแล้ว?

“สองปีครับ เข้าปีที่สาม”

ส่วนใหญ่ทะเลาะกันเรื่องอะไร?

“ผมจะทะเลาะกันเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องใหญ่ของแต่ละคนก็จะมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่จัดการได้อยู่แล้ว ก็เล็ก ๆ น้อย ๆ ทั่วไป เรื่องกินข้าว เรื่องนอน กินอะไรดี อะไรก็ได้ ซึ่งคำนี้สุดยอดมาก พอเลือกก็ไม่เอาแล้ว”

จุดเริ่มต้นความรักเกิดได้ยังไง?

“ผมกับตุลย์รู้จักกันมาเป็นสิบปีได้แล้วครับ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน ไปช่วยเพื่อนมหาวิทยาลัยเป็นงานเดินแบบ เขาต้องทำธีสีสส่งอาจารย์ หลังเวทีก็เจอกัน ตอนนั้นผมอยู่ปีสาม เขาอยู่ปีสอง ตุลย์ต้องเดินแบบเหมือนกัน อยู่หลังเวทีไม่รู้จักใครเลย เจอตุลย์นี่แหละ เขาเข้ามานั่งคุยกัน ก็เลยรู้สึกเหมือนคุยถูกคอ ก็คุยกันทั้งวันเลย”

เริ่มจีบตั้งแต่วันนั้นเลยมั้ย?

“ไม่ครับ ตอนนั้นรู้สึกว่าคนนี้ก็น่ารักดีนะ อัธยาศัยดี คีฟคอนเนกชั่นกันมา แต่ไม่ได้คุยอะไรจริงจังมาก ๆ เริ่มจีบน่าจะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ก่อนเป็นแฟนกัน เริ่มคุยจริงจังตอนเขาไปเรียนนิวยอร์ก มีโอกาสคุยกันโน่นนี่นั่น ห่างแล้วสงสัยคิดถึง มีองค์ประกอบบางอย่าง”

หวานมั้ย?

“คิดว่าหวานครับ (หัวเราะ) ผมเป็นคนขี้อ้อนครับ เลยรู้สึกเหมือนเวลาอยู่ด้วยกันก็สกินชิพบ่อย ตัวติดกัน ตอนเขาอยู่ต่างประเทศ สามเดือนผมไปหาเขาที่นิวยอร์ก สามเดือนเขากลับมาเมืองไทย ก็จะได้คุยกันทุกสามเดือนครับ”

คุยกับตุลย์ใช้เสียงสอง?

“สองไม่พอ เสียงแปดครับ (หัวเราะ) เขาก็เหมือนกัน คีย์เดียวกัน (หัวเราะ)”

เรียกตุลย์ว่าอะไร?

“ปกติเรียกแทนกันที่รักกับเขา แต่ที่ผ่านมา ผมเรียกเขาหมูเด้ง เพราะตัวเขาเด้ง ๆ (หัวเราะ) ส่วนเขาเรียกผมว่าที่รักเฉย ๆ”

ถูกโยงว่าเป็นคู่รักเลิกกัน?

“ตอนนั้นหลายคนส่งมาให้ดูเหมือนกัน ผมก็บอกว่าไม่มีอะไรนะ ชีวิตแฮปปี้ดี (หัวเราะ) ตุลย์ก็ส่งมาให้ดูเหมือนกัน บอกว่าทำไมต้องโยงมาคู่เราด้วย ผมก็บอกว่าแปลว่าเราก็เป็นคู่ที่เขาสนใจนะ มองในแง่ดี”

เป็นเพราะเลื่อนงานแต่งด้วย?

“ก็เป็นไปได้ครับ แต่ก็รู้สึกว่าเอ๊ะ พูดยากมากเลย เขามองอะไรเรามา สุดท้ายความรักเป็นเรื่องของคนสองคน บางทีอยู่ในสื่ออาจมีหลาย ๆ ทิศทางที่เกิดขึ้นได้ เราก็ค่อนข้างชิล ๆ มาก ๆ”

ตอนขอแต่งงานเขารู้มาก่อนมั้ย?

“ไม่รู้ ผมวางแผนประมาณ 6 เดือนได้ 6 เดือนไม่ได้คุยกับใครเลย เครียดมาก หลัก ๆ ผมเป็นคนวางแผน คนที่รู้ก็มีเลขาฯ กับออแกไนเซอร์ที่ต้องรู้เรื่องคิว ผมบอกเขาก่อน 1 อาทิตย์เองแล้วไม่มีใครรู้ เพราะบอกเขาไม่ได้ เครียดมาก ณ ตอนนั้นพูดอะไรกับตุลย์จำไม่ได้แล้ว แต่ฟีลเหมือนดีใจมาก ๆ ที่เราได้มาเจอกัน”

ให้แหวนด้วย?

“ความตลกคือเขาน่าจะรู้ตัวอะไรบางอย่าง เขาเล่าให้ฟังว่าในมือเขาใส่แหวนไว้เยอะมาก เผื่อวันนึงผมขอเขาแต่งงานขึ้นมา เขาจะได้ใส่คืน วันนั้นผมรู้สึกว่าไม่ได้ แหวนเราต้องเด่นที่สุด ก็บอกสไตลิสต์ว่าตุลย์ใส่แหวนเต็มไปหมดเลย ไปถอดให้หมด (หัวเราะ) ก่อนขึ้นเวที จะได้มีแค่แหวนผมวงเดียวที่ใส่ให้เขา พอเราขอเขาแล้ว เขาอยากขอคืนบ้าง แต่เขาไม่มีแหวน เขาเลยไปหาพิธีกร ไปยืมแหวนพิธีกร (หัวเราะ) ยืมมาใส่ให้ก่อน ตลกดี”

ทำไมเลื่อนงานแต่ง?

“ยังไม่ได้วางฟิกซ์วันจริง ๆ ตั้งแต่แรก ว่าจะแต่งงานกันวันไหน ที่ผ่านมายังไม่ได้คุยกับหมอดูเลยว่าฤกษ์งานแต่งวันไหนดี จะวางแผนก็ต่อเมื่อได้คุยกับหมอดู อย่างน้อยต้องมีฤกษ์ก่อน แล้วเอาฤกษ์ไปคุยกับโรงแรมว่าเขาว่างหรือเปล่า แล้วค่อยเริ่มจัดงาน”

หมอดูยังไม่ได้คุย โรงแรมก็ยังไม่รู้ ธีมงานจินตนาการยังไง?

“ฝั่งผมรู้สึกว่างานแต่งงานเหมือนงานที่เรามาเฉลิมฉลองกัน เรากับเขามีความสุขซึ่งกันและกัน ครอบครัวเขามีความสุข เหมือนแขกทุกคนที่มางานต้องมีความสุขไปกับเรา ต้องการแค่นี้เลย เลยรู้สึกว่าอาจมีการแยกพาร์ตของงาน เป็นพาร์ตพิธีการ พาร์ตจอยกับครอบครัว จอยกับเพื่อน ๆ ก็อาจมีหลาย ๆ รอบหน่อย”

แต่งหลายวันหรือวันเดียว?

“ก็หวังว่าวันเดียวจบได้ครับ (หัวเราะ)”

เรื่องเรือนหอแต่งงานเกี่ยวด้วยมั้ย?

“ด้วยความที่ทั้งตัวงานแต่ง ตัวเรือนหอ และบ้าน ใช้งบเยอะทั้งสองอย่าง ก็คิดอยู่ว่าจะยังไงดี แต่คิดว่าอาจสร้างบ้านก่อนมั้งครับ ตอนนี้เริ่มแล้ว ได้ลานจอดรถแล้ว (หัวเราะ)”

มิวไม่ได้จะสร้างหลังเดียว วางแผนจะสร้างบ้านสองหลัง?

“ด้วยความที่ตอนแรกกะว่าจะยังไงดีในการทำบ้าน ถ้าการที่เราสร้างบ้านหลังนึง พอแต่งงานเป็นเรื่องเราสองคนก็จริง แต่ก็มีเรื่องครอบครัวด้วย ความเป็นจริงแล้ว บ้านเราโลเกชั่นในการสร้างบ้านตรงไหนดี ถ้าเพื่อความแฟร์ของทั้งสองครอบครัว ก็ลองหาตรงกลางแล้วกัน ที่บ้านผมไปผม ระยะทางประมาณนึงบ้านเขามาหาระยะทางประมาณนึง นี่คือโจทย์ แต่ทีนี้เหมือนทางฝั่งเขาก็มีที่อยู่สามารถสร้างได้เลย ทางฝั่งผมก็มีที่อยู่ที่สามารถสร้างได้เลยเหมือนกัน ก็เลยคิดว่าหรือว่าเราสร้างติดกับที่บ้านเราไปเลยดี แต่ถ้าเราสร้างบ้านติดที่บ้านใครคนใดคนหนึ่งปุ๊บ บ้านอีกคนต้องน้อยใจแน่เลย”

ได้ข้อยุติมั้ย?

“บ้านหลังนึงก็แพงนะ ก็ตกลงกันว่าในเมื่อทั้งสองฝั่งมีที่ของตัวเองที่สามารถสร้างบ้านได้ งั้นเราสร้างสองหลังเลยแล้วกัน หลังนึงใกล้ครอบครัวเขา หลังนึงใกล้ครอบครัวเรา จะได้ไม่ต้องมีครอบครัวไหนน้อยใจ แบ่งวันไปอยู่ด้วยกัน”

งบที่วางเอาไว้?

“น่าจะเยอะ พอมีที่แล้ว เราก็ประหยัดค่าที่ไปได้ แต่ตัวบ้านน่าจะประมาณนึงเหมือนกัน ไม่แน่ใจ”

หลักร้อยล้านมั้ย?

“เป็นร้อยเลยเหรอ (หัวเราะ) เป็นลมก่อน แต่สองหลังผมว่าต้องมี ปัจจุบันก็วิ่งงานไม่หยุดเลย”

ไปนั่งสมาธิใกล้โลงศพ?

“ตอนแรกผมเข้าใจมาก ๆ ว่าทั่วไปการปฏิบัติธรรมคือไปนั่งสมาธิ เดินจงกรม ซึ่งทั้งวันเป็นแบบนั้นครับ นั่งสมาธิ 1 ชม. สลับกับเดินจงกรม 1 ชม. จำได้ว่าตอนนั้นน่าจะค่ำ ๆ แล้ว เตรียมตัวกลับบ้าน พระเดินมาเก็บมือถือ นาฬิกาเราไป บอกว่าเดี๋ยวจะให้ไปสั่งสมาธิกับโลงศพ ตอนนั้นมีประมาณ 10 คนนิด ๆ ก็อย่างน้อยเรามีเพื่อน ๆ อยู่ ก็อุ่นใจ ยังโอเคอยู่ เสร็จปุ๊บเหมือนพระก็เดินถือไฟฉาย พาเราเดินไปเรื่อย ๆ ออกจากวัดไป วัดนั่นอยู่สระบุรีมั้งครับ คือเดินออกไปแล้วเหมือนเจอป่าช้ามากเลยครับ เดินเข้าป่าแล้วไฟก็เริ่มหาย ๆ ไปไม่ค่อยมีแสง ตอนที่เห็นคือแสงไฟฉายของพระ เดินตามไป ใจก็เริ่มแป้วแล้ว มือถือก็ยึด นาฬิกาก็ไม่มี พอออกจากป่า เป็นทุ่งที่เหมือนคูน้ำ มีคลองอยู่ข้าง ๆ ตรงทางเดินแยกไปแต่ละอัน แต่ละอันก็เป็นเพิง พระเดินไปส่งทีละเพิง เพิงใครเพิงมัน ซึ่งแต่ละเพิงก็ห่างกัน ของใครของมัน ตอนแรกก็ใจตุ้ม ๆ ต่อม ๆ แล้ว พอผมเดินตามพระเข้าเพิง เป็นเพิงไม้เก่ามาก ๆ ตรงกลางเพิงเป็นกลดอันนึง รอบ ๆ มีคล้าย ๆ โลงศพ 3 โลงตั้งอยู่ ผมไม่เห็นของเพื่อนว่ามีเหมือนกันมั้ย พระบอกให้นั่งตรงนี้ ด้วยความผมแขนขายาว ตอนนั่งเข่ากระแทกโลง รู้สึกเหมือนไปเรียกเขาเลย (หัวเราะ) พระก็บอกว่าถ้าเกิดอะไรขึ้น เวลาตกใจห้ามวิ่งหนีนะ เพราะมันมืดมาก ๆ เดี๋ยวตกคลอง มันจะอันตราย”

แล้วเกิดอะไรขึ้น?

“ผมนั่งไปไม่ถึง 5 นาที เหมือนเข่าที่ผมชนโลง มีเสียงพรืดไล่ผ่านขาผมไปข้างหลัง ผมก็ฉิxหายแล้ว ๆ แต่ก็คิดในแง่ดีว่ามีเณรหรือพระมาแกล้งเราหรือเปล่า  เหมือนทดสอบจิตใจเราหรือเปล่า ก็เริ่มดีขึ้น ทีนี้พอเริ่มนั่งนาน ๆ ก็เหมือนเมื่อยหลัง ผมก็ค่อย ๆ โค้ง ผมหลับตาอยู่นะ แล้วกลิ่นศพมันตีขึ้นจมูก ผมก็เอ๊ะ ถ้าเป็นศพจริง พระกับเณรไม่น่าเข้าไปแกล้งในโลง ถ้าจำไม่ผิด นั่งประมาณ 2 ชม. ประมาณสี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน รู้สึกนานมาก”

ติดตามชมรายการคุยแซ่บShow วันและเวลาใหม่ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 11.30-12.30 น. เริ่มเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม 2568 ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

คลิปสัมภาษณ์

About Author