กรมหม่อนไหมส่งเสริมเลี้ยง “ไหมอีรี” ดันสู่อาชีพเสริมที่มั่นคงสร้างอัตลักษณ์ชุมชน

ปัจจุบันประเทศไทยมีเกษตรกรจำนวนมากที่ปลูกมันสำปะหลัง ซึ่งใช้ระยะเวลาเพาะปลูกยาวนานประมาณ 8 – 12 เดือน จึงจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ ทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าว เกษตรกรจะมีเวลาว่างและไม่มีรายได้ กรมหม่อนไหมจึงเล็งเห็นโอกาสในการส่งเสริมอาชีพเสริมให้แก่เกษตรกร ด้วยการนำ “ไหมอีรี“ มาเลี้ยง โดยใช้ใบมันสำปะหลังเป็นอาหารสำหรับไหมอีรีได้โดยตรง ซึ่งถือเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า และช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรระหว่างรอการเก็บเกี่ยว
ไหมอีรี จัดเป็นไหมที่สามารถเลี้ยงด้วยพืชหลากหลายชนิด โดยเฉพาะใบมันสำปะหลัง และใบละหุ่ง จึงเหมาะสมกับระบบเกษตรแบบผสมผสาน และสอดคล้องกับสภาพพื้นที่ของเกษตรกรไทยที่ปลูกมันสำปะหลังอยู่แล้ว การเลี้ยงไหมอีรีไม่เพียงสร้างรายได้จากการขายรังไหมเท่านั้น แต่ยังสามารถนำดักแด้ไปแปรรูปเป็นอาหารโปรตีนสูงสำหรับคนและสัตว์ สอดคล้องกับนโยบายยกระดับสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
นายนวนิตย์ พลเคน อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าวว่า การเลี้ยงไหมอีรี ใช้ระยะเวลาสั้นเพียง 55 – 60 วัน ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและสภาพอากาศ โดยปัจจุบันกรมหม่อนไหมมีการส่งเสริมให้เกษตรกรเลี้ยงไหมอีรีในหลายจังหวัด ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ พะเยา ตาก นครสวรรค์ ขอนแก่น หนองคาย บุรีรัมย์ อำนาจเจริญ อุดรธานี และสระแก้ว
โดยกรมหม่อนไหม เป็นผู้ดำเนินการผลิตไข่ไหมอีรี เพื่อแจกจ่ายให้เกษตรกรนำไปเลี้ยง โดยบางกลุ่มเน้นเลี้ยงเพื่อขายรังไหมเป็นวัตถุดิบ หรือสาวเป็นเส้นไหมอีรี เกษตรกรที่เลี้ยงไหมอีรีมีทั้งเป็น เกษตรกรรายย่อย รวมกลุ่ม หรือเป็นวิสาหกิจชุมชน เพื่อดำเนินกิจกรรมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ทั้งในด้านการเลี้ยงไหม แปรรูป และออกแบบผลิตภัณฑ์จากไหมอีรี เช่น ผ้าทอ เสื้อผ้าแฟชั่น ของที่ระลึก และผลิตภัณฑ์แฮนด์เมดต่าง ๆ ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง

จุดเด่นอีกประการของไหมอีรี คือความสามารถในการทำหน้าที่เป็นตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (Indicator) ที่ช่วยตรวจสอบความปลอดภัยของพืชที่ใช้เลี้ยง หากใบพืชมีสารเคมีตกค้างหรือปนเปื้อนในปริมาณมาก ไหมอีรีจะไม่ทำรัง หรืออาจตายทันที ทำให้สามารถประเมินเบื้องต้นได้ว่าแปลงพืชนั้นปลอดภัยหรือไม่ จึงเป็นเครื่องมือธรรมชาติที่ช่วยส่งเสริมการทำเกษตรปลอดสารพิษและเกษตรอินทรีย์ในระยะยาว
ไหมอีรียังถูกจัดให้เป็น “ไหมอหิงสา“ เนื่องจากรังของไหมอีรีเป็นรังเปิด เกษตรกรสามารถปาดรังออกเพื่อนำดักแด้ไปใช้โดยไม่ต้องต้มฆ่าตัวหนอนเหมือนการเลี้ยงไหมทั่วไป ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์จากไหมอีรีได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสิทธิสัตว์และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ผลิตภัณฑ์จากไหมอีรีจึงอยู่ในกลุ่ม Eco Products หรือผลิตภัณฑ์รักษ์โลกที่กำลังเติบโตในตลาดทั้งในและต่างประเทศ
รวมทั้ง กรมหม่อนไหม ยังให้ความสำคัญกับการอบรมและส่งเสริมองค์ความรู้ทั้งในด้านเทคนิคการเลี้ยง การจัดการกลุ่ม และการตลาด โดยเฉพาะการเชื่อมโยงเครือข่ายผู้ซื้อในระดับชุมชน เมือง และตลาดออนไลน์ เพื่อให้เกษตรกรสามารถพัฒนาอาชีพเลี้ยงไหมอีรีให้เป็นรายได้ที่มั่นคง ยั่งยืน และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภครุ่นใหม่ได้อย่างแท้จริง


ทั้งนี้ กรมหม่อนไหม ร่วมกับสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน) ได้ดำเนิน “โครงการ Eri Silk Eco print เอกลักษณ์เฉพาะถิ่นสร้างอาชีพให้ชุมชน” โดยนำร่องวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรกรโครงการปฏิรูปที่ดินพื้นที่เอกชน ต.พระธาตุขิงแกง อ.จุน จ.พะเยา ซึ่งมีความต้องการสร้างรายได้เสริมจากการเลี้ยงไหมอีรี โดยใช้พื้นที่แปลงรวมปลูกมันสำปะหลัง 30 ไร่ เป็นอาหารหนอนไหม สร้างห่วงโซ่การผลิตครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ พร้อมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าไหมอีรีพิมพ์ลายใบไม้จากธรรมชาติที่สะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชนตำบลพระธาตุขิงแกง โดยใช้เส้นไหมอีรี ร่วมกับการย้อมสีธรรมชาติและพิมพ์ลวดลายจากใบไม้ในท้องถิ่น เป็นผลิตภัณฑ์ผ้าไหมอีรี Eco Print ภายใต้แบรนด์ “Yakzaa – ยักษ์ษา” ซึ่งได้รับความสนใจจากตลาดทั้งในและต่างประเทศ ถือเป็นต้นแบบการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยทุนวัฒนธรรมและทรัพยากรในท้องถิ่นอย่างแท้จริง
“ไหมอีรี ไม่เพียงเป็นทางเลือกใหม่ของผ้าไหมยุคใหม่ที่ยั่งยืนและไม่เบียดเบียน แต่ยังเป็นช่องทางสร้างรายได้อีกทางจากการขายดักแด้โปรตีนคุณภาพสูง กรมหม่อนไหมจึงส่งเสริมการเลี้ยงไหมอีรีให้เป็นอาชีพเสริมที่มั่นคง ของเกษตรกรไทยในยุคเศรษฐกิจเปลี่ยนผ่าน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และเศรษฐกิจฐานรากอย่างแท้จริง” อธิบดีกรมหม่อนไหม กล่าว



