“เสน่ห์ 6 อย่างเมืองกุ้ยหยาง” เบ่งบานกลางกรุงเทพฯ เปิดตัวท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมสุดตื่นตา

เสน่ห์ทั้ง 6 อย่างกำลังเบ่งบาน ณ กรุงเทพฯ และงานเปิดตัวการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมเมืองกุ้ยหยางที่น่าตื่นตาตื่นใจในประเทศไทย
จากรสเปรี้ยวเผ็ดที่คุ้นเคยสู่ความหลากหลายของวัฒนธรรมชาติพันธุ์ จากการแสวงหาความผ่อนคลาย สบาย และสงบ สู่คำอธิบายร่วมของคำว่า “ส่วง” (爽 – สดชื่น สุขใจ) เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน ได้มีการจัดงานประชุมส่งเสริม “ชวนสุขใจที่กุ้ยหยาง” งานส่งเสริมการท่องเที่ยววัฒนธรรม เศรษฐกิจ และอสังหาริมทรัพย์เมืองกุ้ยหยาง ภายใต้หัวข้อ “สวงส่วงกุ้ยหยาง เสน่ห์แห่งหกส่วง” ขึ้นที่กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย หวัง หง รองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคการเมืองกุ้ยหยางและนายกเทศมนตรีเมืองกุ้ยหยาง นำคณะผู้แทนกุ้ยหยางเข้าพบสวี่หลาน อุปทูตที่ปรึกษาสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ตัวแทนจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ผู้นำธุรกิจไทย-จีน และตัวแทนจากบริษัทนำเที่ยวชื่อดังของไทย
ในงานประชุมส่งเสริมการท่องเที่ยว หูหลิน ผู้อำนวยการฝ่ายวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวเทศบาลกุ้ยหยาง ได้กล่าวถึงทรัพยากรทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวอันเป็นเอกลักษณ์ของกุ้ยหยาง โดยมีได้นำเสนอแนวคิด “หกส่วง” ได้แก่ สดชื่นกาย สดชื่นใจ สดชื่นตา สดชื่นลิ้น สดชื่นช้อป และสดชื่นเที่ยว เพื่อถ่ายทอดเสน่ห์และเอกลักษณ์ของทรัพยากรทางวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของกุ้ยหยาง พร้อมเปิดเผย “รหัสความสำเร็จ” ที่ใช้คำว่า “爽 (ส่วง)” เป็นจุดขายเมืองอย่างสร้างสรรค์ โดยเฉพาะประสบการณ์ของอินฟลูเอนเซอร์นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เพิ่งกลับจากทริป “กุ้ยหยางสดชื่น” และชิมซุปปลาเปรี้ยวและอาหารอันโอชะอื่นๆ ที่คล้ายกับต้มยำกุ้ง กลายเป็นไฮไลต์ของแขกผู้มาเยี่ยมเยือน หูหลินเชิญชวนแขกในงานว่า: “ผมขอเชิญทุกท่านมาเยือนที่กุ้ยหยาง ปล่อยใจให้ลมเย็นเฉลี่ย 22.3°C พัดพาความกังวลให้จางหาย ให้รสเปรี้ยวเผ็ดของอาหารจุดประกายความหลงใหล และให้เสียงดนตรีเสรีรักษาจิตวิญญาณของคุณ”

ด้านสวี่หลาน ที่ปรึกษาสถานทูตจีนประจำประเทศไทย ได้กล่าวว่า “กุ้ยหยางมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีวัฒนธรรมชาติพันธุ์อันหลากหลาย เป็นจุดเชื่อมสำคัญระหว่างจีนและโลก ในขณะที่ประเทศไทยก็เป็นประเทศท่องเที่ยวสำคัญของโลกที่มีทรัพยากรการท่องเที่ยวและวัฒนธรรมโดดเด่น การแลกเปลี่ยนและความร่วมมือระหว่างทั้งสองพื้นที่ในด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวนั้น มีศักยภาพสูงและอนาคตสดใส”
ในการประชุมครั้งนี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยยังได้แสดงวิสัยทัศน์เกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวระหว่างไทย–กุ้ยหยาง รวมถึงแนวโน้มการเยือนระหว่างกันในอนาคต

นอกจากนี้ยังได้เชิญอินฟลูเอนเซอร์ชาวไทยที่เพิ่งเดินทางไปเยือนกุ้ยโจวและกุ้ยหยางเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ของพวกเขาในสถานที่ดังกล่าว โดยพฤติกร พลอยอุไร อินฟลูเอนเซอร์ชาวไทยเล่าถึงทริปกุ้ยหยางว่า “ตลาดชิงอวิ๋นในกุ้ยหยางสร้างความประทับใจให้ผมมาก ไม่ว่าจะเป็นอาหารรสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าด อากาศเย็นสบาย แม้แต่ตอนกลางคืนก็ยังคึกคัก ผู้คนต่างมาเดินเล่นและถ่ายรูปที่นี่ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดีมาก แสดงให้เห็นว่ากุ้ยหยางเป็นเมืองที่ผสมผสานความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ บรรยากาศของเมือง และความมีชีวิตชีวาสมัยใหม่ ผมชอบเมืองนี้มาก”
Guizhou Guilv International Travel Service Co., Ltd. ได้แนะนำเส้นทางท่องเที่ยวขาเข้าจากไทยสู่จีน 2 เส้นทาง ได้แก่ “คลื่นเทรนด์สู่เฉียนซี · ควันไฟเมืองกุ้ยหยาง” และ “กุ้ยโจวหลากสีสัน · ดินแดนดาวเฉียนซี” พร้อมทั้งจัดทำวิดีโอโปรโมตเส้นทางประกอบการนำเสนอ



ในงานยังมีพิธีลงนามความร่วมมือหลายฉบับ ได้แก่
- ข้อตกลงแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวระหว่าง Guizhou Guilv International Travel Service Co., Ltd กับบริษัทท่องเที่ยวของไทย
- ข้อตกลงความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่างสมาคมการค้าไทย-กุ้ยโจวกับสมาคมธุรกิจนำเข้าและส่งออกเมืองกุ้ยหยาง
- ข้อตกลงความร่วมมือการจัดซื้อระหว่าง Anantamat International Trade Co.,Ltd. กับ Guizhou Tire Co., Ltd.

รวมทั้งจัดพิธีมอบป้าย “ศูนย์การตลาดการท่องเที่ยวกุ้ยหยางแห่งประเทศไทย”
งานนี้ยังได้นำเสนอเนื้อหานวัตกรรมใหม่ โดยใช้จุดขาย “อากาศเย็นเฉลี่ย 23°C ในฤดูร้อน” ของกุ้ยหยาง พร้อมผลักดันโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักผ่อน (บ้านนกอพยพ) พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างบ่อน้ำพุร้อน กีฬากลางแจ้ง ฯลฯ เพื่อดึงดูดนักลงทุนและผู้ซื้อจากประเทศไทยให้ได้สัมผัสกับ “เศรษฐกิจภูมิอากาศ” ของกุ้ยหยาง

ทั้งนี้เมืองกุ้ยหยางจะเดินหน้าขยายตลาดนักท่องเที่ยวสำคัญอย่างประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยอาศัยศักยภาพของเส้นทางบินตรงใหม่ “กรุงเทพ–กุ้ยหยาง” พร้อมมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ เช่น การตลาดเชิงรุก การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การยกระดับบริการ ฯลฯ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยให้มาสัมผัสเสน่ห์ “หกส่วงห” แห่งกุ้ยหยางมากยิ่งขึ้น โดยใช้วาระครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน เป็นโอกาสในการร่วมกันเขียนบทใหม่ของ “ไทยจีนพี่น้องกัน” อย่างน่าประทับใจ


