รู้ทันโรค Enterovirus หมอเด็ก เผยสาเหตุส่วนใหญ่เป็นเชื้อไวรัส แนะพ่อแม่ไม่ต้องตื่นตะหนก

จากกรณีที่มีการแชร์ข่าวในโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับเด็กที่มีอาการไข้ต่ำ ๆ แต่ต่อมามีอาการชักเกร็งและหัวใจหยุดเต้นอย่างฉับพลัน ซึ่งแพทย์ผู้ดูแลวินิจฉัยว่า น่าจะเกิดจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ แนะผู้ปกครองไม่ต้องตื่นตระหนก สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี มีการติดตามและทบทวนกรณีสำคัญอย่างต่อเนื่อง พบว่าในแต่ละปีมีเด็กที่เข้ารับการรักษาหรือเสียชีวิตด้วยภาวะแบบนี้น้อยมาก

นายแพทย์ธนินทร์ เวชชาภินันท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลทางการแพทย์พบว่า อัตราการเสียชีวิตจากกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน ในเด็กที่สุขภาพแข็งแรงดีมาก่อนพบได้น้อยมาก ประมาณ 1 ต่อ 5 แสน ถึง 1 ในล้านราย ซึ่งเทียบได้กับโอกาสการเสียชีวิตจากการถูกฟ้าผ่า โดยพบว่าเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี มีความเสี่ยงมากกว่าเด็กโต เชื้อที่เป็นสาเหตุส่วนใหญ่เป็นเชื้อไวรัส โดยหลักๆ จะเป็นเชื้อกลุ่ม Enterovirus โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายพันธุ์ 71 ที่ทำให้เกิดโรคมือ เท้า ปาก ชนิดรุนแรง หรือเชื้อ COVID-19 ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันแล้ว

นายแพทย์อัครฐาน จิตนุยานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในยุคโซเชียลมีเดีย เมื่อมีข่าวที่กระทบความรู้สึกรุนแรง เช่น กรณีเด็กป่วยหนัก สมองของเราจะจดจำและระลึกถึงเหตุการณ์นั้นได้ง่ายกว่าข่าวทั่วไป เพราะเป็นธรรมชาติของสมองที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องที่สะเทือนใจ เมื่อข่าวถูกแชร์ต่อกันอย่างกว้างขวาง อาจทำให้รู้สึกว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นบ่อยกว่าความเป็นจริง นักจิตวิทยาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Retrievablility bias หรือความโน้มเอียงที่เกิดจากเรื่องนึกออกง่าย จนบางครั้งสิ่งที่เราเผชิญอาจไม่ใช่การระบาดของโรค (Epidemic) แต่เป็นการระบาดของข้อมูลข่าวสารมากกว่า โดยทั่วไปเชื้อกลุ่มนี้ไม่ได้ติดต่อผ่านการหายใจ รับเชื้อจากในอากาศเข้าไปโดยตรง แต่มักติดต่อจากการสัมผัสผ่านละอองฝอย หรือการสัมผัสเชื้อจากพื้นผิวแล้วนำมือมาสัมผัสใบหน้า การป้องกันทำได้โดย หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด ใส่หน้ากากอนามัยในเด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป และล้างมือบ่อยๆ แม้ว่าโรคนี้จะพบไม่บ่อยแต่ ผู้ปกครองควรสังเกตอาการ โดยเฉพาะเมื่อเด็กไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ เช่น ไม่เล่น ไม่รับประทานอาหาร ไม่สามารถนอนหลับพักได้ หรือมีอาการกระสับกระส่าย หรือผวากระตุกบ่อยผิดปกติ ควรรีบพาไปพบแพทย์ แต่หากเป็นอาการไข้ ไอ มีน้ำมูก และเมื่อไข้ลงสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ ผู้ปกครองพิจารณาการให้วัคซีนเสริมป้องกันป้องกันการติดเชื้อเพื่อลดความเสี่ยงต่อสายพันธุ์ที่รุนแรงได้

ทั้งนี้ ทางสถาบันสุขภาพเด็กฯ มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมให้การดูแลรักษาอย่างเต็มความสามารถและจะมีการสื่อสารข้อมูลและคำแนะนำที่จำเป็นแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง

About Author