รีวิวหนัง | “มนต์รักนักพากย์” เรื่องราวการพากย์จากอดีต ส่งถึงปัจจุบัน เปี่ยมไปด้วยความพยายาม และ ความฝัน
สิ่งที่จะบอกก่อนอย่างแรกเลยคือ Netflix มีคอนเทนต์หนังไทยที่คุณภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ เลยในตอนนี้ ทั้งด้านของ โปรดักชั่น นักแสดง และบทบาท เรียกได้ว่าตอนนี้คอนเทนต์ของบ้านเรานั้น พัฒนาไปไกลแบบมาก ๆ เรียกได้ว่าคุณภาพมากเลยในตอนนี้ และล่าสุด Netflix ก็ได้ส่งคอนเท้นต์หนังไทยคุณภาพอีกเรื่องออกสู่สายตาของประชาชนอย่าง “มนต์รักนักพากย์” หนึ่งในหนังไทยที่ควรดูเลยจริง ๆ มันเปลี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของสมัยก่อน บวกกับความรู้สึกของคนสมัยนั้น ที่มีความทรงจำและความผูกพันต่อนักแสดงผู้ล่วงลับอย่าง “มิตร ชัยบัญชา” พร้อมกับรถเร่ ที่จะไปฉายเรื่องราวแห่งความสุขและความฝันของผู้คนในสมัยนั้น กลิ่นอายเก่า ๆ ในยุคนั้น หวนกลับมาให้เราคิดถึงในปัจจุบันมากเลยทีเดียว ความรู้สึกหลังจากรับชมเรื่องนี้จบจะเป็นยังไง ไปอ่านพร้อมกันเลยครับ
เนื้อเรื่อง
เรื่องราวของ “มนต์รักนักพากย์” จะเกิดขึ้นในช่วงปี 2513 หน่วยเร่ขายยาโอสถเทพยดา มีที่สมาชิกประกอบไปด้วย มานิตย์ (รับบทโดย ศุกลวัฒน์ คณารศ) เป็นหัวหน้าและนักพากย์ประจำหน่วย ไอ้เก่า (รับบทโดย จิรายุ ละอองมณี) เป็นผู้ดูแลเครื่องฉาย และ ลุงหมาน (รับบทโดย สามารถ พยัคฆ์อรุณ) เป็นคนขับ ทั้ง 3 คนเป็นนักพาย์ขายยา เร่ไปพากย์ตามงานตามสถานที่ต่าง ๆ อยู่ตลอด จนกระทั่งได้พบกับ เรืองแข (รับบทโดย หนึ่งธิดา โสภณ) หญิงสาวผู้มีความฝันหัวก้าวหน้า และอยากมีอานาคตที่ดี ก็ได้มาเป็นส่วนหนึ่งในทีมพากย์ขายยา นั่นจึงทำให้พวกเขาทั้ง 4 คน ต้องออกตระเวนฉายหนัง พากย์หนังกลางแปลง อีกทั้งยังต้องขายยาโอสถอีก โดยวันเวลาต่าง ๆ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ และก็ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา เปลี่ยนแปลงอาชีพนักพากย์ของพวกเขา ทำให้ทั้ง 4 คน ต้องดิ้นรนและยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึง
ความรู้สึกหลังดู
เรียกได้ว่านี้เป็นหนึ่งในหนังไทย ที่ต้องดู Day 1 ให้ได้เลย เพราะส่วนตัวแล้วชอบดูเรื่องราวเบื้องหลังนักพากย์หลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นทีมพากย์ พันธมิตร หรือ ถ้าพากย์การ์ตูนใหม่ ๆ ก็ทีมพากย์จาก แก๊งการ์ตูน การ์ตูนคลับ และทานุดัน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งหนังที่ตอบโจทย์ คนชอบพากย์เสียงอย่างผมมาก ๆ ไม่ได้มีอคติอะไรต่อตัวอย่างเลย แค่รู้เพียงว่า จะเป็นเรื่องราวของนักพากย์ยุคสมัยก่อน ก็น่าสนใจพอแล้ว อีกทั้งยังได้นักแสดงมากความสามารถ มาร่วมจอในภาพยนตร์อีกด้วย เรียกได้ว่า Netflix นั้นเลือกนักแสดงในหนังเรื่องนี้ได้อย่างดี ถือได้ว่าดึงดูดให้รับชมมากทีเดียว อีกทั้งโปรดักชั่นที่เราได้เห็นในตัวอย่าง เพียงแค่นั้นตัวหนังก็บอกเราแล้วว่า จะพาเราย้อนกลับไปสู่ยุคนั้น ที่เรื่องของการพากย์เสียง และการฉายหนังกลางแปลงเปลี่ยมไปด้วยเสน่ห์ขนาดไหน รวมถึงนักแสดงขวัญใจชาวไทยผู้ล่วงลับอย่าง มิตร ชัยบัญชา อีกด้วย
อีกสิ่งหนึ่งที่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยคือ ตัวหนังนั้นหยิบเอาเรื่องราวอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในปี 2513 ที่ถือได้ว่าเป็นยุคทองของภาพยนตร์ไทยเลยทีเดียว และรู้สึกว่าจะไม่ค่อยมีภาพยนตร์ไทยเรื่องไหนที่หยิบยุคนั้นคือมานำเสนอเท่าไหร่ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนดูสารคดีและเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคนั้นเลย บรรยากาศงานวัด งานพากย์สด ๆ พวกขนมหรือร้านขายของทั่วไป รวมถึงหนังกลางแปลง พอดูไปดูมาแล้วก็คิดถึงช่วงนั้นอยู่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าส่วนตัวผมจะเกิดไม่ทันในยุคนั้น แต่พวกสิ่งต่าง ๆในหนังที่ใส่เข้ามา ผมทันดูอย่างแน่นอนโดยเฉพาะพวกหนังกลางแปลง บอกเลยว่าบ้านผมแถบอีสานนั้น การที่เราได้ดูหนังกลางแปลงตามงานวัด คือความสุขของเด็กๆ สมัยนั้นจริง ๆ แต่ในอีกมุมหนึ่งการที่หยิบยกเรื่องราวในยุคนั้นมาเล่าในปัจจุบันก็เป็นเรื่องที่ยากอยู่เหมือนกันด้วยความต่างกันของยุคสมัย ปัจจุบันบางคนอาจจะไม่ได้รู้สึกอินหรือเข้าไม่ถึงขนาดนั้น
เพราะว่าตัวหนังก็แอบหยอดสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในยุคนั้น มาบ้างไม่มากก็น้อย ที่เป็นการแสดงความเคารพหนังไทยในสมัยนั้น อีกทั้งในตัวเรื่องก็ยังทำให้เราต้องเผชิญหน้าไปพร้อมกับตัวละครที่ ต้องเจอกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ตั้งแต่การหาความสมจริงของภาพยนตร์ (ในเรื่องหมายถึงการใช้เอฟเฟคประกอบการพากย์ในภาพยนตร์ ทั้งเสียงปืน เสียงฝน ที่ต้องดีไซน์ขึ้นมาเอง) และการเข้ามามีบทบาทของสื่อโทรทัศน์ที่มีผลต่อธุรกิจการขายยา และสิ่งที่สะเทือนใจและคนทั้งประเทศไทยเสียใจมากในตอนนั้นคือ การเสียชีวิตอย่างกระทันหันของ มิตร ชัยบัญชา ที่เรียกได้ว่าเหมือนเสาหลักของวงการภาพยนตร์ไทยในยุคนั้นเลย
ถ้าถามว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังแนวไหน เท่าที่ผมดูและรู้สึกได้ คงเป็นแนวกึ่ง ๆ “Road movie” นั้นแหละครับ ที่ตัวหนังก็เลือกที่จะให้ตัวละครและคนดูอย่างเราร่วมเดินทางไปพร้อม ๆ กัน และมีบรรยากาศคอยให้เราซึมซับและคลอบคลุมอยู่ระหว่างทาง และก็ปล่อยให่ตัวละครไปเจอกับเหตุการณ์หลาย ๆ อย่างไปเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าเอาจริง ๆ ก็เป็นหนังที่ดูไม่ยากเลยครับ เล่าเรื่องไปแบบเรื่อย ๆ ตามสไตล์หนังไทยที่เราคุ้นเคยกันดี ต้องขอชื่นชมเลยว่า รายละเอียดของโครงเรื่องนี้ ตัวละคร บรรยากาศนั้นสมจริงและเข้าถึงง่ายแบบมาก ๆ และการเซ็ตตัวละครให้ออกมาโดดเด่นกันคนละแบบ ก็เลยทำไม่ให้ใครสักคนหนึ่งต้องโดดเด่นมากเกินไป นั้นเลยทำให้มันมีเสน่ห์มาก ๆ และชวนให้คนดูอย่างเรา ดูได้แบบเพลิน ๆ เลย อักทั้งตัวหนัง ยังหาทางลงให้กับตัวละครแต่ละตัวได้สมจริง และลงเอยในแบบที่ดีมาก ๆ ความรู้สึกต่าง ๆ มากมายที่เราดูแล้วจะเข้าใจตัวละครนั้นแบบมาก ๆ หลากหลายความรู้สึก การโอบรับ การเข้าใจ การปล่อยผ่าน และการปล่อยให้อดีตผ่านไปแบบช้า ๆ นี่คือความรู้สึกของตัวละครหลัก ที่ทำให้เรารู้สึกว่าใกล้ชิด และจับต้องพวกเขาได้อย่างง่ายดายมาก ๆ
อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องขอชื่นชมหนังเรื่องนี้แบบสุด ๆ ไปเลยก็คือ การออกแบบงานสร้างรวมถึงโปรดักชั่นต่าง ๆ ที่ทำออกมาได้สมจริงมาก ๆ การถ่ายทอดบรรยากาศต่าง ๆ จังหวัดในยุคนั้น รวมถึงเสน่ห์ต่าง ๆ แม้จะเป็นเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ทำออกมาได้สมจริงมาก ทำให้เรารู้สึกดูแล้ว ได้ย้อนไปในช่วงเวลานั้นจริง ๆ เลย ขอบคุณในการใส่ใจแบบพิถีพิถันของทีมงานมาก ๆ ในส่วนของนักแสดงทั้ง 4 เอง ก็แสดงได้ดีตามบทบาทที่ตัวเองได้รับเลยครับทุกคนมีฝีมืออยู่แล้ว ไม่ผิดหวังเลยครับ แต่ที่น่าชื่นชมที่สุดเลยคือ การแสดงของหนูนา หนึ่งธิดาครับ โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยได้เห็นเขาได้แสดงหนังเท่าไหร่ ดูล่าสุดก็ กวนมึนโฮเลยครับ พอมาหนังเรื่องนี้ เขาก็แสดงเป็นสาวในยุคนั้นได้แบบมีจริตจะก้านแบบพอดีมาก ๆ ครับ
สรุปแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็เป็นอีกเรื่องที่ดูได้สบายเลยครับ ไม่มีอะไรซับซ้อน ไม่มีอะไรให้ต้องคิดมาก เป็นหนังกึ่ง ๆ Road movie ฟีลกู๊ดดี ๆ อีกเรื่องเลยครับ และดูได้ทุกวัยแน่นอน รวมถึงผมที่เป็นเด็กที่เกิดในยุค 2000 แต่ก็ยังสนใจในเรื่องของงานพากย์เป็นอย่างมาก ชอบดูเบื้องหลังงานพากย์ของหนังแต่ละเรื่องมาก ๆ ยิ่งในยุคนี้ผู้คนก็เริ่มหันมาให้ความสนใจของการพากย์มากยิ่งขึ้น เรื่องนี้อาจจะตอบโจทย์มากที่สุดสำหรับคนที่ชอบหนังแนวนี้ได้เลยครับ แต่คนที่อาจจะชอบมากกว่า ก็คงจะเป็นคนวัยที่เกิดในยุคนั้น ทันเหตุการณ์สำคัญที่เกิดในตอนนั้น อาจจะมีความรู้สึกที่อินกับภาพยนตร์เรื่องนี้มากพอสมควรเลยครับ อีกทั้งในด้านโปรดักชั่นที่บอกเลยว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้หากจะเข้าฉายโรง ก็คงเข้าฉายได้แบบสบาย ๆ เลยครับ เพียงแค่เข้าไปดูนักแสดง หรือบรรยากาศเก่า ๆ ภายในหนัง ก็คุมค่ากับเวลาที่เราเสียไป 2 ชั่วโมงแล้วครับ
Overall 7.5/10 คะแนน
มนต์รักนักพากย์
ผู้เขียน Cr. K’Poom