รีวิว | “A haunting in venice” ฆาตกรรมหลอนแห่งนครเวนิส ภาคที่ 3 ของนักสืบหนวดเฟี้ยว! ที่ในคราวนี้มีเรื่องวิญญาณเข้ามาเกี่ยวข้อง
กลับมาอีกครั้งกับนักสืบหนวดเฟี้ยวอย่าง แอร์กูล ปัวโรต์ บอกเลยว่าส่วนตัวรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้เห็นเรื่องราวสืบสวนกันต่อของนักสืบคนนี้ ด้วยความที่ส่วนตัวนั้นเป็นคนที่ชอบแนวสืบสวน ตามหาฆาตกรอยู่แล้วด้วย นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่พอเข้าฉาย จะหาเวลาไปดูให้ได้แบบรวดเร็ว แต่สิ่งที่น่าตกใจเลยคือ รอบฉายแถวบ้านผมนั้นน้อยเอามาก ๆ ทั้ง ๆ ที่พึ่งเข้าไปแค่สัปดาห์เดียวเอง อีกทั้งกระแสโปรโมทหนังเรื่องนี้ก็น้อยเอามาก ๆ ด้วย น่าจะโดนหนังใหญ่ ๆ ในสัปดาห์นั้นกลบหายไปเลย แต่ก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็ยังมีรอบฉายให้เราได้ดู และเรื่องราวคดีครั้งนี้น่าสนใจมากอีกด้วย มีวิญญาณเข้ามาเกี่ยวข้องกับการสอบสวนจริงหรือไม่ และใครกันที่เป็นฆาตกร ความรู้สึกหลังจากรับชมเสร็จจะเป็นยังไงไปดูพร้อมกันได้เลยครับ
เนื้อเรื่อง
เรื่องราวของนักสืบปัวโรต์ ในครั้งที่ 3 นี้ จะหยิบยกมาจากหนังสือนวนิยายสืบสวนของ อกาธ่า คริสตี้ อย่าง Halloween party ฮัลโลวีนวันฆาตกรรม และดัดแปลงในชื่อของภาพยนตร์เป็น A haunting in venice ฆาตกรรมหลอนแห่งนครเวนิส เรื่องราวในครั้งนี้ แอร์กูล ปัวโรต์ ตัวของเขานั้น ก็ยังคงบอกเช่นเดิมว่าตัวเองนั้น เกษียณจากงานนักสืบแล้ว แต่ครั้งนี้ก็มีเหตุการณ์ที่ต้องทำให้เขา เข้าไปพัวพันกับเรื่องเหนือธรรมชาติ ของกลุ่มคนที่ติดต่อสื่อสารวิญญาณในโลกหลังความตาย ในค่ำคืนฮัลโลวีนอย่างไม่เต็มใจนัก จากคำเชิญชวนของเพื่อนเก่าของเขา แอรี แอดนีย์ โอลิเวอร์ (รับบทโดย ทิน่า เฟย์) เธอเป็นนักเขียนหนังสือที่พยายามพิสูจน์ว่าเรื่องนี่เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องหลอกลวงกันแน่ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เมื่อมีใครคนใดคนนึง ตายอย่างน่าสยดสยอง และในสภาพที่ผิดหลักจากธรรมชาติ และในครั้งนี้ยังมีเรื่องราวของวิญญาณเข้ามาเกี่ยวข้องในการสืบสวนครั้งนี้ คนที่ตายไปนั้นโดนใครบางคนฆ่ารึป่าว หรือว่าจะเป็นฝีมือของสิ่งที่เรามองไม่เห็นอย่างภูติผี หรือวิญญาณ ก็ต้องร่วมไปหาคำตอบกันในโรงภาพยนตร์ครับ
ความรู้สึกหลังดู
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หนังแนวสืบสวนสอบสวนนั้น มันยังขายและน่าสนใจในคนทุกกลุ่ม ถ้าเรื่องราวของหนังนั้น มันน่าสนใจมากพอ ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นแบบหลังอย่างที่ผมบอกเลยครับ คือเอาจริง ๆ แค่เป็นเรื่องราวการไขคดีฆาตกรรมก็น่าสนใจอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ดันมีเรื่องราวของวิญญาณเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย มันจึงทำให้หนังเรื่องนี้ดูน่าสนใจขึ้นเป็นอย่างมาก ถ้าใครที่ได้ดูหนังแนวสืบสวนหรือแม้แต่การ์ตูนอย่างเรื่องโคนัน ก็รู้ดีกันอยู่แล้วว่าตัวเอกที่เป็นนักสืบนั้น ไม่เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติอย่างแน่นอน เพราะเขาก็จะมีหลักฐานและข้อสันนิษฐานที่รองรับและน่าเชื่อถือได้อยู่ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ ตัวละครอย่าง แอร์กูล ปัวโรต์ ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกันครับ เขาเป็นคนสุดโต่ง สมมาตร ต้องเป๊ะทุกอย่าง แต่ในคราวนี้ คดีที่เขาต้องไขนั้นดันเกิดความลังเล ในทุกความคิดของเขา เพราะสิ่งที่เขาต้องไขคดีนั้น ดันมีสิ่งเหนือธรรมชาติ เขามาคอยปลุกปั่น และเกิดความสับสนในการไขคดี ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริง หรือสิ่งที่มองไม่เห็นกันแน่
สิ่งที่หนังภาคนี้ทำได้ดีก็คือ การหลอกล่อคนดู ให้เชื่อในสิ่งที่หนังอยากจะบอก ด้วยความที่ตัวหนังภาคนี้มีเรื่องของวิญญาณเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดี นั้นจึงเกิดความสับสนกับคนดูว่า นี่คือเรื่องจริง หรือนักสืบอย่าง แอร์กูล ปัวโรต์ นั้นหลอนไปเอง ทำให้ภาคนี้ดูสนุกและน่าสนใจมากว่าสุดท้ายแล้ว สิ่งที่เราได้เห็นนั้นเป็นของจริง หรือกลลวงอะไรกันแน่ นี่จึงเป็นสิ่งที่ดี และเอาคนดูอย่างเรานั้น ตั้งใจดูเรื่องราวและการสืบสวนของนักสืบปัวโรต์คนนี้ไปด้วย ถ้าย้อนกลับไปในภาคแรกอย่าง Murder of the oreiant express ในภาคนั้น ที่เต็มไปด้วยเหล่าตัวละครที่เยอะกันอย่างเหนียวแน่น และเต็มไปด้วยเสน่ห์ แต่ทางผู้กำกับและผู้สร้างก็ยังกระจายบท และหยิบปมปัญหาของตัวละคร มาเล่าแบบไม่ครอบคลุมเท่าไหร่ และภาคต่อมาอย่าง Death on the nile ก็ยังได้นักแสดงมาร่วมจอกันอย่างคับคลั่งเช่นเดิม ที่ยังคงมีปัญหาในด้านของการกระจายบทแล้ว ตัวหนังก็ยังมาพร้อมกับการเล่าเรื่องที่ดูยืดเยื้อจนเกินไปและทำให้เราหลุดโฟกัสด้วยในบางช่วง และดูเหมือนว่า A haunting in venice ผู้กำกับและทีมสร้างได้นำจุดเด่นและข้อสังเกตของทั้งสองเรื่องมาขัดเกลาให้เฉียบคมมากขึ้น และกลายเป็นภาพยนตร์แนวสืบสวนปนสยองขวัญที่กลมกล่อมในทุก ๆ ด้าน
มาพูดถึงในด้านของนักแสดงกันบ้างดีกว่า สิ่งแรกที่ต้องชื่นชมเลยคือ การหยิบเอาเรื่องราวในอดีตของนักสืบ แอร์กูล ปัวโรต์ ที่เคยพูดถึงใน 2 ภาคก่อนหน้า มาต่อยอดเพิ่มเติมและเพิ่มความเป็นมิติให้กับตัวละครนี้มากขึ้น และทำให้คนดูอย่างเรารู้สึกร่วมกับตัวละครนั้นแบบจริง ๆ ตัวละครรู้สึกยอมรับอดีตอันขมขื่นที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองได้ และเพื่อให้ชีวิตของตัวเองนั้นเดินหน้าต่อไปได้ ในส่วนของด้านนักแสดงคนอื่น ๆ ก็แสดงได้ดี และโดดเด่นพอสมควรเลยครับ แต่ก็จะมีนึงในนักแสดงที่คิดว่าโดนนักแสดงคนอื่นบทบังอย่างแน่นอน ลีโอโปลด์ เฟอร์เรียร์ (รับบทโดย จูด ฮิลล์) นักแสดงมากฝีมือ ที่คอยมาสร้างบรรยากาศที่กดดันภายในเรื่องให้ออกมาผ่อนคลายได้ และบอกได้เลยว่าน้องนั้น แสดงบทบาทที่ตัวเองได้รับอย่างดีด้วย
อีกสิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชมในภาคนี้เลยก็คือ บรรยากาศ มุมกล้อง และมหานครเมืองแห่งน้ำอย่างเวนิส ที่อยู่ท่ามกลางความมืดสวยงดงาม ปนกับความหลอนและบรรยากาศที่ไม่น่าไว้ใจ และการจัดแสงสีเงาที่อบอวนไปด้วยบ้านชวนหลอน ก็ทำออกมาได้น่าอึดอัดและไม่น่าไว้ใจมากเช่นกัน ความถึงความแปลกในการใช้มุมกล้องในภาคนี้ด้วยเช่นกัน ที่แสดงถึงความวิตกกังวลของตัวละครนักสืบ แอร์กูล ปัวโรต์ ออกมาได้อย่างดี ที่ทั้งชวนมึนงง และชวนสับสน และในส่วนของการตัดต่อหรือการใส่เสียงซาวด์ประกอบก็ออกมาได้ชวนลุ้นและน่าสงสัยมาก บวกกับบรรยากาศและตัวเพลงที่เข้ากันแล้ว นั่นก็ทำให้รู้สึกลุ้น ตามสไตล์ภาพยนตร์สยองขวัญได้เลย เพื่อให้เรา รู้สึก เห็น และ สัมผัส กับบรรยากาศและความรู้สึกที่นักสืบ ปัวโรต์ ต้องเจอ ยิ่งเสียงเด็กผู้หญิงหัวเราะเล็ก ๆ ภายในเรื่องก็ทำเอาบรรยากาศตอนดูนั้น ขนลุกเสียวสันหลังขึ้นมาทันที
โดยรวมแล้วนี่คือหนังภาคต่อ ที่คุณไม่จำเป็นต้องไปดูภาคก่อนหน้าก็รู้เรื่อง อีกทั้งยังสนุกกับการตามล่าคนร้ายภายในเรื่องอีกด้วย รวมถึงการหลอกล่อภายในเรื่องว่าอันไหนคือเรื่องจริงและสิ่งที่เห็นนั้นคือของจริงหรือไม่ ทุก ๆ องค์ประกอบถูกขัดเกลาให้เฉียบคมขึ้นมากกว่าสองภาคแรก ทั้งเรื่องราวที่นำเสนอที่ดูกระชับ ไม่ยืดเยื้อจนเกินไป และการกระจายบทบาทของตัวละครภายในเรื่องที่ดูเยอะขึ้น ให้ครอบคลุมกว่าเดิม และสร้างบรรยากาศสยองขวัญให้ชวนติดตามได้ตลอดทั้งเรื่อง
Overall 7/10
A haunting in venice ฆาตกรรมหลอนแห่งนครเวนิส
ผู้เขียน Cr. K’Poom