ความสำคัญของ “วันมาฆบูชา”
๑๕ ค่ำ เดือน ๔ หรือ วันมาฆะบูชา ซึ่งคำว่า “มาฆะ” ย่อมาจากคำว่า “มาฆบุรณมี” แปลว่าการบูชาพระในวันเพ็ญเดือน ๓ วันมาฆบูชาจึงตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ แต่ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือมีเดือนแปดสองครั้ง วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็นวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๔ เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง ในวันพุทธศาสนา
วันพระสารีบุตร บรรลุอรหันต์
เป็นวันที่พระสารีบุตร พระอัครสาวกเบื้องขวาผู้เลิศทางด้านปัญญาของพระพุทธเจ้าได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในขณะที่ท่านกำลังถวายงานพัดให้แก่พระพุทธองค์อยู่นั้นพระพุทธเจ้ากำลังแสดงธรรมเกี่ยวกับทิฏฐิและเวทนาให้กับทีฆนขะปริพาชก…พระสารีบุตรได้ฟังธรรมเหล่านั้นทำให้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ณ ถ้ำสุกรขาตา เชิงเขาคิชกูฏ นครราชคฤห์
วันจาตุรงคสันนิบาต
คือวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ เป็นคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา และยังเป็นวันที่พระภิกษุสงฆ์จำนวน ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
วันพระพุทธเจ้าทรงปลงพระชนมายุสังขาร
เมื่อทรงมีพระชมมายุได้ ๘๐ พระชันษา ซึ่ง ณ เวลานั้นทรงได้ตรัสรู้และเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนมานานถึง ๔๕ ปีแล้วก็ได้ทรงตั้งพระทัยว่า “นับแต่นี้ต่อไปอีกสามเดือน ตถาคตจักดับขันธ์ปรินิพพาน” การปลงอายุสังขารจึงเกิดขึ้นในวันเพ็ญแห่งพรรษาสุดท้ายของพระชนม์ชีพ
วันมาฆบูชานี้นอกจากทำบุญตักบาตรในตอนเช้าแล้ว อย่าลืมนำดอกไม้ ธูปเทียนไปที่วัด เพื่อทำพิธีเวียนเทียนรอบพระอุโบสถระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และความหมายที่ซ่อนอยู่อย่างลึกซึ้งในรสพระธรรม
ข้อมูลจาก Dhammavijjā (ธัมมวิชชา ภิกษุณี)