บลจ.ลีฟแคปปิตอล เดินหน้าเป็นผู้นำด้านจัดการเงินลงทุน ขยายเพิ่มการบริหารสินทรัพย์ดิจิทัล ภายในสิ้นปี 65
อัพเดทล่าสุด โดยเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา ทางบลจ.ลีฟแคปปิตอล จำกัด (Lief Capital Asset Management) ได้รับใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Fund Manager) จากทางกระทรวงการคลัง ตอกย้ำจุดเด่นของบลจ.ลีฟแคปปิตอล ที่เดิมให้บริการจัดการกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) เป็นหลัก โดยนำนวัตกรรมการลงทุนที่ค้นคว้า พัฒนาขึ้น มาประยุกต์ใช้ สนับสนุน เสริม ให้การลงทุนมีประสิทธิภาพสูงขึ้น และเป็นประโยชน์แก่ลูกค้ามากที่สุด (ปัจจุบันยังไม่เริ่มประกอบธุรกิจ อยู่ในขั้นตอนการเตรียมความพร้อม (License Activation))
คุณพงษ์ธร ถาวรธนากุล, CFA ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ก่อตั้ง บลจ.ลีฟแคปปิตอล ให้ข้อมูลว่า ผมคิดว่าคุณค่าหลักสำคัญของ “บลจ.” คือ เราต้องใช้ประสบการณ์ ความรู้ ความชำนาญ งานวิจัย ทุกอย่างทั้งหมดที่มี เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับลูกค้า ลงทุนยังไงให้เงินกองทุนเติบโต บริหารความเสี่ยงยังไง ให้ผ่านสภาวะวิกฤตการลงทุนที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาให้ได้ สุดท้ายปลายทางเงินลูกค้าโตถึงเป้าหมาย ไม่ขาดทุนจนเลิกระหว่างทาง หรือเสี่ยงมากไปจนเป็นกังวล
การกระจายความเสี่ยงการลงทุน (Diversification) ก็เป็นหนึ่งในหลักการลงทุน ที่เรายึดถืออยู่เสมอ การลงทุนกระจุกตัวในสินทรัพย์บางกลุ่ม หรือหุ้นรายตัว อาจจะได้ผลตอบแทนที่รวดเร็วกว่า ทันใจกว่า แต่ตามมาด้วยความเสี่ยงมหาศาล เราคงไม่กล้าเอาเงินที่วางแผนไว้เพื่อยามเกษียณไปทุ่มซื้อหุ้นตัวเดียว ถูกไหมครับ ? ในฐานะที่เราตั้งใจจะเป็นผู้จัดการกองทุนในระยะยาวให้กับลูกค้า มันมีความจำเป็นที่ เราต้องคอยติดตาม อัพเดทเครื่องมือการลงทุน กลยุทธ์ของเราให้สอดคล้องกับปัจจุบันอยู่เสมอ การพิจารณาสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ามาเป็นตัวเลือกหนึ่ง ก็จะช่วยให้การลงทุนในภาพของผลตอบแทนและความเสี่ยง มีความสอดคล้องกับอนาคตมากขึ้น
คำถามต่อไปคือ แล้วความรู้ ความชำนาญ และงานวิจัย ซึ่งเป็นหัวใจหลัก ไม่แพ้กับการการบริหารเงินทุน จะมาจากไหน แหล่งใด เพราะค่อนข้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ แตกต่างจากทักษะเดิมของ บลจ.ลีฟแคปปิตอล ที่เน้นบริหารสินทรัพย์ทั่วไป (Traditional Asset) เช่น หุ้น ตราสารหนี้ กองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือทองคำ อยู่พอสมควร
คุณพงษ์ธร เสริมว่า “แน่นอนครับ การคัดเลือกหลักทรัพย์ การตัดสินใจที่ดี ต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูล หลักฐานประกอบสนับสนุน และผมเองก็คิดว่าการมีทีมวิจัยที่เก่ง จะเป็นกุญแจสำคัญให้การลงทุนไม่ว่าทั้งในสินทรัพย์ทั่วไป หรือดิจิทัล ทาง บลจ.ลีฟแคปปิตอล จึงได้มีการระดมทุนในรอบ Strategic Partners ไปแล้วเมื่อปลายปี 2564 โดยมีทางบริษัท มาร์เก็ต เอนี่แวร์ (Market Anyware) เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นเพิ่มเติมพร้อมกับ Angel Investor อีก 2 ท่าน ซึ่งการเข้ามาร่วมเดินทางของ Market Anyware จะมีบทบาทสำคัญในด้านงานวิจัย พัฒนาการลงทุน ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
คุณนิรันดร์ ประวิทย์ธนา CEO บริษัท มาร์เก็ต เอนี่แวร์ จำกัด เสริมว่า การที่ทาง บลจ.ลีฟแคปปิตอล ได้รับใบอนุญาต ผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล เมื่อต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เป็นข่าวดีที่ทางหน่วยงานกำกับดูแล เล็งเห็นความสำคัญของการมีผู้จัดการเงินทุนมืออาชีพ ที่จะเข้ามาช่วยนำเสนอบริการจัดการลงทุนให้กับนักลงทุนที่มีความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น คริปโทเคอเรนซี
ในมุมมองของผม การมีผู้ประกอบการที่มีประสบการณ์ อยู่ภายใต้เกณฑ์การกำกับดูแลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แสดงถึงแนวโน้มที่ดีของอุตสาหกรรมการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะนั่นหมายถึง ลูกค้านักลงทุน มีทางเลือกที่มีตัวตนชัดเจนมากขึ้น มีผู้ประกอบการที่มีมาตรฐาน มีการควบคุม ตรวจสอบที่ไว้ใจได้มากขึ้น
ถามว่า แล้ว Lief Capital จะมีแนวทางบริหารสินทรัพย์ดิจิทัลแบบไหน..?
แนวทางการลงทุนของเราในสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ในเบื้องต้นจะเป็นการคัดเลือกเชิงคุณภาพ กระจายความเสี่ยงแบบพื้นฐานก่อน เราจะใช้หลักการผสมผสานระหว่างการใช้ข้อมูลการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative analysis) และปัจจัยมหภาค (Macroeconomic factors) ในการเข้าลงทุน รวมถึงการใช้ข้อมูลเชิงพื้นฐาน (Fundamental) ในการกลั่นกรอง คัดเลือกสินทรัพย์ที่จะลงทุน
จากนั้น หลักการของ Quantitative และ Macroeconomic factors นั้น จะถูกพัฒนาต่อเนื่อง โดยฝ่ายวิจัยของบริษัท โดยเมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมาทาง Lief Capital ได้เริ่มก่อตั้ง Investment Research Lab ประกอบด้วยทีม Data Scientist, Programmer และ Researcher ในการทำวิจัยและพัฒนาเครื่องมือสนับสนุนการลงทุน การนำโมเดลด้านปัญญาประดิษฐ์ มาใช้ในการวิเคราะห์ปัจจัยเศรษฐกิจ โดยคัดเลือกชุดข้อมูลที่เรามองว่ามีผลกระทบกับพฤติกรรมของสินทรัพย์ (ทิศทางราคา, ความผันผวน ฯลฯ) มาใส่เข้าใน Deep Learning Model โดยแก้ปัญหาเรื่องปริมาณข้อมูลไม่พอ ไม่สมบูรณ์ ด้วยการใส่สมมติฐาน (Prior) ของมนุษย์ (ผู้จัดการเงินทุน) เสริมเข้าไป โดย sub-model จะปรับปรุง (Tuning) รูปแบบการเทรนให้เหมาะกับพฤติกรรมของข้อมูลสมมติฐานชิ้นนั้นๆ
หน้าที่ของโมเดล Deep Learning ตัวนี้ คือ “คอยจับผิดสมมติฐานมนุษย์” และยืนยันสมมติฐานที่ถูกต้องกว่า ที่เหมาะสมกว่า ซึ่งเราจะทยอยปรับใส่ factor ต่างๆ ที่มนุษย์คิดว่ามันจะมีผลกับตลาดเข้าไปในโมเดลเรื่อยๆ เท่าที่ความรู้ความสามารถของนักวิเคราะห์จะมองว่ามีนัยสำคัญต่อการพัฒนาโมเดล
ทาง Investment Lab จะต้องประเมินการใส่ข้อมูลแบบพอดี ๆ ไม่ให้น้อย หรือมากจนโมเดลเกินไป (overfit) ซึ่งผลลัพธ์ของโมเดลที่ได้ จะช่วยชี้แนวโน้มของสินทรัพย์แทนนักวิเคราะห์ได้ อย่างน้อยก็ภายใต้กรอบปัจจัยที่กำหนด (แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะถูก 100% หรอกนะครับ แต่ดีกว่าโยนหัวก้อย และได้เปรียบนักวิเคราะห์ทั่วไป ตรงที่พิสูจน์ได้ว่ามีวิธีการได้มาซึ่งคำตอบที่ชัดเจน ไม่ใช่การพึ่งพาสัญชาตญาณเป็นหลัก การคาดการณ์มีที่มาที่ไปและเหตุผลรองรับ) อย่างน้อยโดยพื้นฐานที่สุด สิ่งที่โมเดลนี้สามารถทำได้ดีกว่ามนุษย์แน่นอนคือการสร้าง Smart Beta ที่เป็น Nonlinear (วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของเหตุและผลที่มากกว่า 1:1) ซึ่งคาดว่าจะมีความสามารถสูงกว่า Smart Beta แบบ Linear ที่มนุษย์สร้างกันขึ้นมา
ซึ่งโมเดลนี้จะถูกผสมผสานด้วยการคัดเลือกสินทรัพย์ สำหรับการลงทุน (Investment Universe) โดยใช้ปัจจัยด้านพื้นฐาน Fundamental ของสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น คริปโทเคอเรนซี ซึ่งในส่วนนี้ผมได้เคยมีอธิบายไปบางส่วนแล้ว ว่าเราสามารถใช้มุมไหน เป็นองค์ประกอบการพิจารณาบ้าง ซึ่งจะขยายเพิ่มเติมในโอกาสต่อไป
สำหรับนักลงทุน ที่เป็นมือใหม่ในโลกสินทรัพย์ดิจิทัล ผมมองว่า อายุของสินทรัพย์ประเภทนี้ ถ้าเทียบกับสินทรัพย์ทั่วไปอื่น ๆ แล้ว ถือว่ายังอยู่ในวัยเด็กอยู่มาก การลงทุนเองยังถือว่ามีความเสี่ยง เพราะโลกสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ความผันผวนระดับสูง ยังไม่นับรวมการรักษาความปลอดภัยของสินทรัพย์ หากคุณมีเวลาในการศึกษาที่ไม่มากพอ แต่ยังเชื่อในแนวโน้มการเติบโต การมอบหมายการลงทุนให้เป็นหน้าที่ของผู้จัดการเงินทุนนั้น อาจจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมมากกว่า
โดยเฉพาะเมื่อโลกของปัญญาประดิษฐ์เริ่มเข้ามามีส่วนร่วม จะเข้ามาช่วยทำให้การลงทุนมีการบริหารจัดการที่ดีขึ้น ลดอคติ (Bias) ลดผลกระทบจากอารมณ์มนุษย์ เลือกตัดสินใจโดยอ้างอิงบนหลักฐานเชิงประจักษ์ที่สะท้อนออกมาจากข้อมูล ซึ่งถ้ามีโอกาส ทางทีมงาน Lief Capital จะขออธิบายหลักการการทำงานของ Deep Learning Model ที่เราวิจัยและพัฒนามาให้อ่านกันเพิ่มเติมครับ”
คุณพงษ์ธร กล่าวปิดท้ายว่า “การลงทุนนับวันจะมีความผันผวนและซับซ้อนขึ้นทุกที ยิ่งถ้านักลงทุนมองว่าต้องมีสินทรัพย์ดิจิทัลในพอร์ต อาจต้องใช้เวลาในการติดตามและทำความเข้าใจมากยิ่งขึ้น แนวทางการให้บริการของเราถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นี้ คือ เป็นผู้จัดการเงินลงทุนแบบ One Stop Service โดยยึดความต้องการของลูกค้าเป็นที่ตั้ง เพียงท่านกำหนดเป้าหมาย ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่เรา บริหารจัดการให้แบบอัตโนมัติ ซึ่งแน่นอนว่า ระหว่างทางลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะลงทุน หรือปรับเปลี่ยนเส้นทางได้ตามต้องการ”
การที่ Lief Capital มี Market Anyware ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านงานวิจัยมาเสริมทีม ในการสร้างองค์ความรู้และกลยุทธ์สินทรัพย์ดิจิทัลขึ้นภายในองค์กร ทำให้เราสามารถตรวจสอบและพัฒนาปรับปรุงได้อย่างคล่องตัว ปิดช่องโหว่และบริหารความเสี่ยงของเงินลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อผสานเข้ากับมาตรฐานการจัดการกองทุนส่วนบุคคลเดิม ที่เน้นประโยชน์สูงสุดของลูกค้าเป็นอันดับหนึ่ง ผมเชื่อว่าจะทำให้ลูกค้ามั่นใจ วางใจ และสามารถใช้ชีวิตได้ตามความต้องการ ไม่ต้องกังวลกับความผันผวนของสภาวะการลงทุนอีกต่อไป
แถมท้ายสำหรับผู้ที่สนใจว่า การประยุกต์ใช้นวัตกรรมกับการลงทุน จะออกมาหน้าตาอย่างไร และจะนำไปใช้อะไรได้บ้าง ? สามารถมาเจอทั้งผมและคุณนิรันดร์ได้ที่งานสัมมนา “เตรียมตัวอย่างไร ? มั่นใจวัยเกษียณ” เสาร์ที่ 27 สิงหาคมนี้ 9.00 – 12.00 น. ที่ KX Knowledge (BTS วงเวียนใหญ่)
ลงทะเบียนได้ที่ https://bit.ly/3T1mIYq (ฟรี/ ที่นั่งมีจำนวนจำกัด)
สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเรา บลจ.ลีฟแคปปิตอล ได้ที่
Website : https://liefcapital.com/ Line Official : @Liefcapital