“ศรีสุวรรณ” โต้อยากได้ซีน ร้องสอบ “หลวงพี่อุเทน วัดท่าไม้” ชี้ใช้กลอุบายเอื้อประโยชน์ 2 ผู้ต้องหา
“ศรีสุวรรณ” โต้อยากได้ซีน ร้องสอบ “หลวงพี่อุเทน วัดท่าไม้” ชี้ใช้กลอุบายเอื้อประโยชน์ 2 ผู้ต้องหา “ปอ-โรเบิร์ต” จะตรวจสอบยันเงินบริจาค
รายการ เป็นเรื่องใหญ่ ออนแอร์ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 17.15 น. ทางช่อง JKN 18 ดำเนินรายการโดย “เพชร กรุณพล เทียนสุวรรณ” ได้สัมภาษณ์ “ศรีสุวรรณ จรรยา” กรณีรถทัวร์จากคดี “แตงโม นิดา” เปลี่ยนจากลงคุณแม่ ลงทนาย วันนี้มาลงที่วัดท่าไม้เรียบรอยแล้ว
ไปร้องหลวงพี่อุเทนวัดท่าไม้ไปร้องเรื่องอะไร?
ศรีสุวรรณ : “ก็มีหลายประเด็นนะครับ แต่ว่าเป็นประเด็นที่สืบเนื่องกับเรื่องของคุณแตงโมนะครับ ผมว่าก็มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์กันเยอะกับกรณีที่หลวงพ่ออุเทนไปบวชพราหมณ์ให้กับผู้ต้องหาทั้ง 2 คน หลายคนก็ตำหนิว่าการไปบวชให้ผู้ต้องหาคดีอาญาทั้งสองคนมันสมควรมั้ย เพราะก่อนหน้านี้ก็มีกฎของมหาเถรสมาคมว่าพระภิกษุหรืออุปฌาย์ ห้ามไปบวชพระให้กับผู้ต้องหาในคดีอาญา แต่ประเด็นสำคัญก็คือสองคนนี้ที่เกี่ยวพันกับคดีของน้องแตงโม แน่นอนครับเขาอาจมีเจตนาที่อยากไปบวชเพื่อสร้างบุญกุศลอย่างไรก็แล้วแต่ แต่โดยกฎเกณฑ์ของสังคมโดยกฎของเถรสมาคมเขาห้าม เจ้าอาวาสวัดท่าไม้เนี่ยเขาเรียกว่าเลี่ยงบาลี เมื่อไม่ให้บวชพระก็ไปบวชพราหมณ์ ซึ่งก็บวชไปแล้วและก็ยังไปหลอกผู้สื่อข่าวอีกว่าจะไปบวชที่วัดท่าไม้แต่ก็ไปบวชที่ราชบุรี”
เขาก็ไม่ได้หลอกนะเขาก็บวชที่วัดท่าไม้แต่เป็นสาขาที่ราชบุรี?
ศรีสุวรรณ : “ประเด็นก็คือว่ากฎของมหาเถรสมาคมที่ 17 ปี 2536 ข้อ 14 เขาก็เขียนห้ามไว้ เพราฉะนั้นการที่หลวงพ่อใช้ลักษณะการเลี่ยงบาลีไปบวชพราหมณ์ให้ จริงๆ ถ้าเราไปดูในส่วนของศาสนาพราหมณ์เนี่ยเขาก็มีกฎอยู่ครับไม่ใช่ว่าไม่มี เขาบอกว่าการที่จะมาบวชได้จะต้องเป็นคนที่มีบรรพบุรุษบวชเป็นพราหมณ์มาอย่างต่อเนื่อง แล้วการที่จะบวชในปีหนึ่งก็บวชได้ครั้งเดียวก็คือขึ้น 1 ค่ำ เดือน 4 เท่านั้น แล้วพอบวชไปแล้วต้องห้ามโกนผมโกนหนวดทั้งสิ้น และจะต้องนุ่งขาวห่มขาวไปตลอดชีวิต
แต่การที่พระอุเทนมาบวชให้ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน โกนผมโกนคิ้วโกนหนวดแล้วก็ไปนุ่งขาวห่มขาว และบางวันก็สะพายบาตร เดินจงกรมปักกลด ทำอะไรอีกหลายอย่างซึ่งมันเป็นพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น การกระทำดังกล่าวผมตีไปว่าเป็นกลอุบายที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับ 2 คนที่ถูกกล่าวหาในคดีของคุณแตงโมหรือเปล่า อย่าลืมนะว่าแม้ตำรวจยังไม่ได้ส่งสำนวนแต่ถ้าสมมติคดีนี้ไปถึงศาลและศาลพิพากษาว่าทั้ง 2 คน มีความผิดจริงเขาก็สามารถใช้เหตุอ้างได้ว่าเขาไม่ได้หลบหนี อีกทั้งยังไปบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ ก็จะเป็นเหตุในการบรรเทาโทษได้”
แสดงว่าคุณศรีสุวรรณไม่เชื่อว่าเขาทำจากใจจริง?
ศรีสุวรรณ : “ผมคิดว่านั่นไม่ใช่ประเด็นครับ คนเราอาจไปไถ่โทษความผิดได้ แต่ในเมื่อเงื่อนไขของศาสนามีกฎห้ามอยู่ว่าห้ามบวชให้คนประเภทนี้นะ เราก็ต้องยึดถือ ไม่เช่นนั้นใครกระทำความผิดไม่ว่าจะเป็นฆ่าคนตายโดยเจตนาหรือประมาทก็ทุกคนก็จะหนีไปบวชหมด แล้วก็ใช้เหตุผลในการบวชมาขอลดโทษซึ่งมันก็ไม่น่าจะถูกต้อง”
แต่มันก็เป็นดุลยพินิจของศาลหรือเปล่าว่าให้หรือไม่ให้ แต่ว่าการบวชพราหมณ์แบบนี้คนไทยจะชอบตีความที่ทับศัพท์โดยที่ไม่รู้ความหมาย มันเหมือนกับเป็นการไปถือศีลมั้ยแบบนี้ ในมุมมองของคนหลายคนคิดว่ามันก็แค่ถือศีลเพราะมันไม่ได้บวชพระไม่ได้ถือศีล 200 กว่าข้อเหมือนพระ?
ศรีสุวรรณ : “ถูกต้องครับ โดยปกติคนที่เป็นพุทธศาสนิกชนที่ไปถือศีลส่วนใหญ่ก็ถือศีล 8 นุ่งขาวห่มขาวไม่ปลงผมไม่โกนคิ้วใด ๆ ทั้งสิ้น แต่นี่มีพฤติการณ์ที่เจตนาจะเหมือนบวชเป็นพระ โกนผมโกนคิ้วโกนหนวด นุ่งขาวห่มขาว บางครั้งก็เอาจีวรพระมาพาด”
แต่คนที่วัดแม้แต่หลวงพี่ก็บอกชัดเจนนะว่าไม่ใช่พระ เพราะฉะนั้นไม่ผิดกฎมหาเถรสมาคม?
ศรีสุวรรณ : “ครับ ก็นี่แหละครับที่ผมต้องเขียนหนังสือคำร้องไปร้องกราบนมัสการมหาเถรสมคมเพื่อให้วินิจฉัยว่ากรณีอย่างนี้ทำได้หรือไม่ ผมไม่ได้ฟังธงว่าเป็นความผิดหรือทำไม่ได้นะ ถ้าท่านวินิจฉัยว่าไม่เป็นไรทำได้ ผมคิดว่าหลังจากนี้ใครมีคดีความประเภทนี้อยากใช้หนทางนี้ก็มาทำกันเถิด แต่ถ้าท่านบอกว่าทำไม่ได้อย่างนี้มันก็จะเป็นบรรทัดฐานในอนาคต”
หลายคนสงสัยว่าอยู่ ๆ ทำไมพี่ศรีลงมายุ่ง เพราะว่าช่วงนี้มันไม่มีกระแสไม่มีอะไรทำเพราะปิดสมัยประชุมหรือเปล่า?
ศรีสุวรรณ : “ไม่ใช่ครับ ปกติผมก็เป็นข่าวเกือบทุกวันเวลาอยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ผมไปตรวจสอบหรือไม่ก็ฟ้องคดีให้กับชาวบ้านทั่วทั้งแผ่นดินอยู่แล้ว แต่ประเด็นที่ผมต้องมาตรวจสอบ จริงๆ เรื่องพระผมก็ตรวจสอบอย่างต่อเนื่องถ้าทุกคนติดตามนะ ก่อนหน้านี้ก็ตรวจสอบมหาสมปอง แล้วก็ปัจจุบันเป็นเรื่องของพระอุเทน แล้วจริงๆ หลายคนก็ถามว่าไปยุ่งอะไรกับพระ ต้องไปดูนะครับในรัฐธรรมนูญปี 60 ในมาตรา 67 เขาพูดว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติแต่ว่าประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการตรวจสอบผมอยู่ในสถานะเลขาธิการพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยก็เห็นว่าเมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดว่าเรามีสิทธิมีเสียงในการที่จะไปตรวจสอบกระบวนการของพุทธศาสนา ผมก็มีสิทธิที่จะไปตรวจสอบเท่านั้นเอง”
แล้วคิดว่าการที่พระอุเทนไปบวชให้ 2 คนนี้ คิดว่าผิดหรือไม่?
ศรีสุวรรณ : “คือบอกแล้วไงว่าผมไม่สามารถฟันธงได้ เพราะพูดไปก็เป็นการชี้นำ แต่ส่วนตัวผมคิดว่าไม่เหมาะสมเพราะผู้ต้องหาทั้ง 2 คนถูกวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้นการที่เขาจะสำนึกผิดผมคิดว่ามันมีหลายร้อยวิธีการที่เขาจะสำนึก แต่ว่าอย่าเอาศาสนาเข้าไปผูกโยงเพื่อจะเป็นประเด็นในการใช้เป็นเหตุผลในการที่จะต่อสู้ในคดีอาญามันไม่เหมาะสม”
นอกจากไปร้องเรื่องการบวชแต่คุณลากไปถึงการบุกรุกสถานที่การบุกรุกป่าเลยหรือเปล่า?
ศรีสุวรรณ : “ก็เหตุผลจากประเด็นที่เป็นข่าวว่าเขาไปบวชที่วัดท่าไม้สมุทรสาครนะครับ แต่เอาเข้าจริงกลับไปบวชที่สวนผึ้งราชบุรี แล้วพอไปถึงที่นั่นสื่อมวลชนก็รายงานว่าสภาพพื้นที่โอบล้อมไปด้วยภูเขา ป่าไม้เยอะแยะ ผมก็เอ๊ะ สำนักสงฆ์เข้าไปตั้งในพื้นที่ป่าหรือไม่อย่างไร ผมก็เลยต้องเจาะข้อมูลเข้าไปดูแล้วพบว่าพื้นที่เหล่านี้มันไม่สามารถออกเอกสารสิทธิใดๆได้เลยนะ เพราะมันเป็นพื้นที่ที่ได้รับการประกาศหวงห้ามที่ดินปี 2481 เพื่อใช้ในการราชการทหารเท่านั้น เพราะฉะนั้นไม่มีหน่วยงานใดแน่นอนที่จะไปออกโฉนดที่ดินเพื่อมาดำเนินการได้ เพราะฉะนั้นการที่มีสำนักสงฆ์ หรือปัจจุบันจะอ้างว่าเป็นของมูลนิธิก็แล้วแต่นะครับ แต่ว่าเมื่อเป็นอย่างนั้นผมก็ต้องยื่นตรวจสอบ ซึ่งทราบว่าวันนี้ท่านผู้ว่าก็เรียกประชุมใหญ่เลยในจังหวัดราชบุรี”
ได้ให้หน่วยงานตรวจสอบแล้วแล้วได้คำตอบอะไรหรือยัง?
ศรีสุวรรณ : “ยังครับ แต่คงเร็วๆ นี้ จริงๆ วันนี้ทางอธิบดีกรมธนารักษ์แล้วก็ทางผู้ว่าราชบุรีจะแถลงแต่ไม่ทราบว่าแถลงแล้วหรือยัง เพราะเมื่อเช้าก็ได้ยินว่าได้ลงพื้นที่ไปตรวจสอบ แล้วไปได้ไม่นานท่านผู้ว่าก็เรียกประชุมด่วน”
ไม่กลัวเหรอว่าถ้าเป็นแบบนี้คนที่เขาเชื่อมั่นในศาสนาเขาจะหาว่าพี่เป็นคนทำลายศาสนาหรือเปล่า เพราะถ้าเกิดว่าไม่ถูกต้องจริงๆ ย้ายออกเลยนะ?
ศรีสุวรรณ : “ไม่ครับ ผมเชื่อว่าศาสนาดีอยู่แล้วเพียงแต่ว่าการปฏิบัติยังไม่ถูกต้อง เราก็ทำให้ทุกอย่างมันเข้ารูปเข้ารอย ไม่ใช่ปล่อยเลยเถิดจนไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้”
ถ้าบอกว่ามันเลยเถิดไม่เข้ารูปเข้ารอย เกี่ยวกับวัดท่าไม้มีเรื่องอะไรที่เรายังสงสัยอีกนอกจากเรื่องนี้?
ศรีสุวรรณ : “จริงๆ ผมร้องไปไม่ใช่เรื่องการไปบวชให้กับ 2 ผู้ต้องหานะครับ ผมร้องไปประมาณ 3-4 เรื่อง อย่างเช่นผมเคยเข้าไปในวัดท่าไม้แล้วไม่เห็นถาวรวัตถุซึ่งไม่ใช่พระพุทธศาสนาเลย เช่น พระแม่กวนอิม พระพิฆเนศวร แล้วคนก็ไปกราบไหว้บูชา และบริจาคเงินมากมาย ผมก็เรียนถามกรรมการมหาเถรสมาคมไปในจดหมายหนังสือของผมด้วยว่าการกระทำอย่างนี้มันเป็นกิจของสงฆ์หรือไม่ ก็ให้ทางมหาเถรสมาคมได้วินิจฉัยคำตอบซึ่งอาจไม่เร็วนะครับ เพราะท่านอาจมีวาระประชุมเดือนละครั้งสองครั้ง ก็เข้าใจว่าประมาณเดือนสองเดือนกว่าจะมีคำตอบ แต่ก็ได้ตั้งประเด็นให้ท่าน
นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องเงินเรื่องทองอีก ก็เข้าใจว่าวัดนี้เป็นวัดใหญ่ และสมัยก่อนก็มีคนไปกราบไหว้บูชาไปบริจาคเงินเยอะแยะมากมาย และก็เข้าใจว่าทางวัดมีกิจกรรมขอรับบริจาครวมทั้งมีการตั้งมูลนิธิซึ่งเป็นแหล่งรับเงินบริจาคต่างๆ ผมก็ถามทางเถรสมาคมว่าวัดนี้ได้มีการจัดทำบัญชีตามกฎหรือไม่ เพราะต้องแสดงค่าใช้จ่ายแต่ละปี รวมทั้งการถือเงินสดก็ห้ามถือเกินกว่าจำนวนที่กำหนด นอกจากนั้นการที่ไปทำพิธีแก้กรรม ปลุกเสกขายวัตถุมงคลผมก็ถามไปอีกว่าเป็นวิถีของพุทธศาสนาหรือไม่ ถ้าไม่ใช่จะมีวิธีการในการยับยั้งกระบวนการนี้อย่างไร เพราะผมว่าทั้งประเทศหลายวัดก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน”
แต่จะว่าไปเกือบทุกวัดเลยนะที่มีวัตถุมงคลให้บูชากัน แบบนี้ในมุมมองมันจะแตกต่างกับวัดท่าไม้มั้ย?
ศรีสุวรรณ : “ก็อาจไม่แตกต่างมากนักแต่รู้สึกว่าวัดท่าไม้จะมีเรื่องของการแก้กรรม อย่างกรณีของ 2 ผู้ต้องหาเห็นมั้ย หลวงพ่ออุเทนพาทั้ง 2 คนไปแก้กรรมในป่าช้ากลางค่ำกลางคืน อะไรต่างๆ ซึ่งมันผิดวิสัยของพระที่จะต้องยึดถือในศีลสมาธิและปัญญา”
แบบนี้มันจะแปลกมั้ยเพราะว่าดาราที่ไป เศรษฐีที่ไปแล้วเขาได้สิ่งที่เขาต้องการกลับมาก็เป็นการบริจาคให้วัด?
ศรีสุวรรณ : “ผมคิดว่าเราต้องยึดถือหลักของพุทธศาสนาเป็นหลักนะครับ เราอย่าไปยึดถือในตัวบุคคล เพราะตัวบุคคลเข้ามาแล้วก็ออกไป เราเคยมีพระดังๆ มากมายแล้วเราก็ไปสนับสนุนส่งเสริมหรือบริจาคจนหลายท่านตะบะแตกแล้วก็เป็นเรื่องราวใหญ่โต หรือบางท่านหนีไปอยู่ต่างประเทศก็มี เพราะฉะนั้นเราต้องจำกัดการทำบุญทำทานของเราให้อยู่ในเหตุในผล ไม่ใช่ว่ามีเท่าไหร่ก็บริจาคให้ท่าน ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าท่านเอาไปทำอะไร”
แล้วมองยังไงกับการที่คนบอกว่าที่บวชให้ 2 คนนี้เพราะวัดได้รับเงินบริจาคเยอะก็เลยต้องออกมาช่วย?
ศรีสุวรรณ : “เราคงไม่สามารถไปสืบค้นได้นะครับว่าสองผู้ต้องหามีการบริจาคให้กับวัดหรือไม่เพราะว่าถ้าจะดูจริงต้องไปดูงบของวัด ว่าได้จัดทำบัญชีเรื่องนี้หรือไม่ ซึ่งจริงๆผมคิดว่าก็คงไม่มีใครมาโชว์หรอกครับ เพราะถ้ามีจริงๆ คงเป็นเรื่องที่กลับมาทำลายตัวท่านเองรวมถึงผู้ที่บริจาคด้วย”
โฟนอินหา “ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม” ผมเห็นว่าอาจารย์ออกมาพูดว่ามีนักกฎหมายคนนึงที่บอกว่ายังไม่ให้ทั้ง 5 คนที่อยู่บนเรือไปพบตำรวจในวันที่เกิดเหตุเลย?
ปรเมศวร์ : “ไม่ใช่ครับ คือผมถามจากน้องตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวนว่าทำไมถึงมีการแจ้งความช้า เขาบอกว่าคน 5 คนมีคนบอกว่าให้รอพบเขาก่อนแล้วค่อยไปพบตำรวจแค่นั้นเองมันจึงมีการแจ้งความช้า ที่ผมติดใจเพราะว่าลูกศิษย์ที่เป็นตำรวจโดนตำหนิกันเยอะไง เขาบอกว่าจากการสอบสวนทั้ง 5 คน มีคนแนะนำว่าต้องพบกับเขาก่อนแค่นั้นเองครับ แต่ผมไม่รู้ว่าเป็นใคร”
ไม่ใช่ทนายตั้มใช่มั้ย?
ปรเมศวร์ : “เขาไม่ได้บอกชื่อ คือผมไม่ได้ลงไปยุ่งกับคนอื่น ทนายตั้มไม่เกี่ยว”
โดยปกติเวลาเกิดเหตุถ้าเป็นอุบัติเหตุแล้วเราไม่ได้ตั้งใจส่วนใหญ่ก็จะไปหาตำรวจก่อน แบบนี้หากปรึกษาทนายก่อนมันจะเป็นข้อพิรุธหรือผิดสังเกตอะไรที่แปลกๆ มั้ย?
ปรเมศวร์ : “แล้วแต่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ คนที่อยู่จะตอบได้ดีกว่าผม บางคนทำไมเกิดเหตุถึงต้องหนีไปตั้งหลัก บางคนกลับไปบ้านอันนี้แล้วแต่เหตุการณ์ โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับคนดังมันก็อาจมีอะไรที่ไม่เหมือนปกติ ผมถามน้องที่เป็นลูกศิษย์ว่าทำไมคุณไปดูเรือกันช้า เขาก็บอกว่าจากการที่เขาศึกษาเรือที่เกิดเหตุวนอยู่บริเวณที่เกิดเหตุประมาณ 3 ชั่วโมง เขาบอกอย่างนั้นดูจาก GPS อันนี้ผมก็ไม่ได้เห็นเองนะ เพียงแต่เขาเล่าให้ฟัง
ทีแรกผมก็คิดว่าไม่มีการช่วยเหลือ แต่นี่เขาวนแล้วอันที่ 1 อันที่ 2 คนบนเรือเกิดการปวดท้องก็ขึ้นมาอยู่บนฝั่งและเห็นมูลนิธิไปเยอะเขาก็ไปอยู่ที่อื่น ประเด็นมันก็เกิดตรงที่ว่าเพราะคุณเป็นเพื่อนกันและคุณไม่อยู่สังคมก็เลยสงสัย ถามตำรวจว่าทำไมไม่ยึดเรือ เขาก็บอกว่าเขาได้รับแจ้งหลังเกิดเหตุเป็นชั่วโมงถ้าผมจำไม่ผิด แล้วเรือเขาก็ไปดูวันรุ่งขึ้น คดีเนี่ยถ้ามีคนจมน้ำ เราก็ยังไม่รู้ว่า ประมาท หรืออุบัติเหตุ หรือฆาตกรรม คดีที่มีเกี่ยวกับการตายสาระสำคัญต้องเจอศพ และพิสูจน์จากศพ เราถึงจะรู้ว่าสาเหตุเป็นอย่างไร ตำรวจบอกว่าคลิปทุกคลิป 200 กว่าคลิปเขาดูหมดแล้ว คนที่ถ่ายคลิป 70 คนเขาก็เรียกมาสอบ พยานในคดี 100 กว่าปาก แล้วทุกครั้งที่สอบสวนวันรุ่งขึ้นเขาต้องรายงาน ผบ.ตร. ตลอดเวลา ผมก็คิดว่าเขาคงทำตามขั้นตอน”
แล้วที่แต่ละคนตอนแรกให้การอย่างนึงแล้วตอนหลังอีกอย่างนึงมีพิรุธมั้ย?
ปรเมศวร์ : “มันต้องไปดูรายละเอียด ผมถามน้องพนักงานเขาบอกว่าโทรศัพท์ของคนบนเรือตำรวจตรวจหมดเลย ว่าโทรถึงใครบ้างแล้วเขาก็ถามคนที่รับทีศัพท์ทั้งหมดแล้วมันได้ความตรงกันตรงที่ว่ามีการปัสสาวะ ผมรู้แค่นั้นนะ แต่รายละเอียดยังไงไม่รู้จริงๆ ผมถามว่าคุณเชื่อได้ยังไง เขาก็บอกว่าก็ถามคนที่รับโทรศัพท์ในคืนนั้นที่เกิดเหตุ ทุกคนพูดเหมือนกัน แต่ทีหลังจะมาแตกต่างอะไรบ้างอันนี้ไม่ทราบจริงๆ ครับ”
การบวชเพื่อลดโทษในศาลทำได้มั้ยครับ?
ปรเมศวร์ : “ผมว่ามันไม่เกี่ยวนะ ปัจจัยในการลดโทษในเรื่องของคดีประเภทนี้มันไม่ใช่การบวช ถ้าบวชแล้วลดโทษมันก็บวชกันหมด แต่มันต้องบรรเทาความเสียหาย การไปบวชมันอาจอธิบายได้อย่างนึงคือการสำนึกผิดแค่นั้น แต่ถ้าการที่บวชแล้วไม่ต้องรับโทษคงไม่ใช่”
แล้วโดยปกติถ้าเป็นผู้ต้องสงสัยหรือผู้ต้องหาแบบนี้สามารถบวชได้มั้ย?
ปรเมศวร์ : “คือผมอ่านในกฎเถรสมคมหลักการก็คือถ้ายังไม่บริสุทธิ์ห้ามบวช แต่โดยวัตถุประสงค์คือไม่ต้องการให้มีการบวชหนีคดี ผมมีความเห็นต่างว่าถ้าเขาจะบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลไม่ใช่เป็นการบวชหนีคดีผมคิดว่ามันน่าจะบวชได้ เพียงแต่ว่าตอนนี้เราก็สับสนกันหมดแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น รอโฃคดีว่าเขาจะว่ายังไง คือผมอยากรอดูตำรวจยังไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์อะไร”
ในมุมของอาจารย์คิดว่าคดีนี้มันสามารถมองเป็นอย่างอื่นนอกจากอุบัติเหตุได้มั้ย?
ปรเมศวร์ : “ถ้าถามประสบการณ์ในการทำคดีอาญามา 30 40 ปี ผมคิดว่ามูลเหตุจูงใจในการทำให้เป็นเจตนายังไปไม่ถึงความเห็นส่วนตัวนะ เพราะว่าถ่ายรูปกันมา ภาพถ่ายสังสรรค์เฮฮากันมา มันไม่น่าจะมีมูลเหตุ คือใครจะทำร้ายใครมันต้องมีเหตุจูงใจ และถ้าเจตนาฆ่าระยะทางจากกรุงเทพฯ ไปปทุมธานีมันก็ไม่น้อย มันจะทำตรงไหนก็ได้ แต่ผมยังไม่ได้สรุปหรอก รอดูลูกศิษย์ลูกหาว่าสอบออกมาแล้วจะเป็นยังไง”
พี่ศรียืนยันมั้ยว่าจะเกาะติดคดีนี้เพื่อความเป็นธรรม?
ศรีสุวรรณ : “ถ้ามีช่องทางให้กระทบกระเทือนต่อขอบเขตของกฎหมายผมเองก็มีหน้าที่ในการที่จะตรวจสอบอยู่แล้ว ตาเราก็ไม่มีสิทธิที่จะไปสรุปความหรือตีความว่ามันต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้นะครับ เราก็ให้หน่วยงานที่เขามีอำนาจโดยตรงตรวจสอบ ถ้าถูกก็ถูก ถ้าไม่ถูกก็มีบทลงโทษไปเท่านั้นเองครับ”
หลายคนบอกว่าพี่มาเพราะเกาะกระแส ยืนยันมั้ยครับว่าไม่ว่าจะเป็นวัดไหนเราก็ร้องเรียนเหมือนเดิม?
ศรีสุวรรณ : “ถ้าดูงานที่ผมทำมาโดยตลอด จัดการเรื่องพระเรื่องสงฆ์ที่ไม่ถูกต้องมาโดยตลอดอยู่แล้ว และจะทำหน้าที่ต่อไป ถ้าไม่ถูกต้องผมก็จะดำเนินการอย่างนี้ต่อไป ไม่เว้นหรอกครับ”